เทคนิครถยนต์: แก้ปัญหารถวิ่งสะดุด

เทคนิครถยนต์: แก้ปัญหารถวิ่งสะดุด

            เครื่องยนต์เป็นชิ้นที่ต้องพึ่งประกายไฟจากเขี้ยวหัวเทียนในการจุดระเบิด ต้องอาศัยชิ้นส่วนต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่คอยส์จุดระเบิดที่มีหน้าที่ขยายแรงเคลื่อนไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่มีเพียง 12 โวลท์ ให้มีแรงเคลื่อนไฟฟ้าถึง (ประมาณ) 20,000-40,000 โวลท์ มากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนรอบของขดลวดทุติยภูมิ ซึ่งจะใช้หลักการของการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าในขดลวดทองแดง ติดกับเส้นแรงแม่เหล็กของแกนเหล็ก อันจะก่อให้เกิดการเหนี่ยวนำของขดลวดปฐมภูมิไปยังทุติยภูมิ หลังจากนั้นก็จะเดินทางไปยังจานจ่าย เพื่อจัดลำดับกระแสไฟว่าจะให้ไปยังสูบไหนก่อน แล้วก็จะเดินทางตามสายหัวเทียนสูบใครสูบมันเพื่อไปสร้างประกายไฟฟ้าที่หัวเทียน ไปก่อตัวเป็นประกายไฟให้ไอดีเกิดการระเบิด ผลักดันลูกสูบไปหมุนเพลาข้อเหวี่ยง แล้วแปรเปลี่ยนพลังงานความร้อนไปเป็นพลังงานกลเพื่อขับเคลื่อนรถอีกที จะสังเกตได้ว่าทุกส่วนต้องเชื่อมต่อกันถึงกันหมด หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป หรืออยู่ครบแต่เป็นของ “ชำรุด” เครื่องยนต์ก็จะทำงานไม่เต็มกำลัง วิ่งไม่ออก

            ส่วนอาการก็จะมีหลายหลายคือ เครื่องยนต์ติดไม่ครบสูบ กำลังตก เสียงเครื่องจะแปลก ๆ เดินเบาก็ไม่ค่อยจะนิ่ง เหมือนหัวเทียนจะบอด แต่บางครั้งก็ปกติ ลืมบอกไปว่ารถนายแบบวันนี้เป็นเครื่อง “คาร์บู” นะครับ ยังไม่ถูกลวนลามด้วยกล่อง ECU-หัวฉีดให้แปดเปื้อนแต่อย่างใด พอมีเวลาว่างก็จัดการเกณฑ์ไอ้พวกชอบเลอะมาร่วมพิสูจน์ซะหน่อย ว่าตัวการจะเกิดจากคาร์บูเรเตอร์หรือเปล่า ว่าแล้วก็รื้อคาร์บูออกมาล้างซะ 1 รอบ ประกอบเสร็จก็เช็คในส่วนของท่อทางน้ำมันไปด้วยซะพร้อม ๆ กัน จะได้มั่นใจไปเปลาะหนึ่งว่า ไม่ได้มาจากระบบน้ำมันแน่นอน

            เอ หรือว่าจะเป็นที่กรองอากาศเพราะตัวนี้ก็ทำหน้าที่ดักสิ่งปะปนในอากาศก่อนจะถูกชักจูงไปยังห้องเผาไหม้ เพื่อเตรียมตัวเป็น 1 ใน 3 องค์ประกอบหลักที่จะสันดาปร่วมกันให้เครื่องยนต์ทำงาน ขั้นตอนนี้ไม่ยาก แค่ถอดกรองออกมาแล้วก็เป่า ๆ หน่อย ถ้าสภาพกรองยังดีก็ใส่กลับเข้าไปได้เลย ไหน ๆ ก็ลงมือไปซะ 2 จุดแล้ว ก็ลองติดเครื่องดูหน่อยละกัน เผื่อตัวการจะเป็นที่คาร์บูเรเตอร์กับกรอง จะได้สิ้นปัญหา
[เทคนิครถยนต์]  

            หลังจากที่ตรวจเช็คในระบบน้ำมันและอากาศไปเรียบร้อยแล้ว อาการก็ยังลูกผีลูกคน ไม่ทรุดลงแต่ก็ไม่ดีขึ้น ปกติบ้าง สักพักก็เหมือนวิ่งแค่ 3 สูบ จึงมุ่งไปที่ผู้ต้องหาลำดับสุดท้ายคือ ระบบไฟ ว่าแล้วก็เริ่มที่จานจ่ายกันก่อน จัดการแยกฝาครอบจานจ่ายออกมาซะ แล้วก็หงายหน้าจานจ่ายขึ้นมาดู พบสิ่งต้องสงสัยเป็นบรรดาขี้เกลือที่เกาะอยู่ตามหน้าสัมผัสต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่มากจนถึงขนาดเป็นผู้บงการให้เกิดอาการที่ว่ามา เมื่อจัดการขูด ๆ ขัด ๆ จนหน้าสัมผัสเอี่อมอ่องแล้ว ก็เช็คกันที่รอยแตก-ร้าวของจานจ่ายทั้งหมด เพราะถ้ามีก็อาจจะทำให้กระแสไฟฟ้าเกิดการรั่วไหลโดดออกไปนอกจานจ่ายจนไม่มีกำลังไฟที่แรงพอจะส่งไปยังเขี้ยวหัวเทียนเพื่อทำการจุดระเบิดได้ หลังจากที่ตรวจตราดูจนทั่วแล้ว ก็เป็นอันผ่าน
[เทคนิครถยนต์]  

            จะว่าไปแล้วไอ้อาการแบบที่ว่ามานี้ “หัวเทียน” เป็นอีกผู้ต้องสงสัยอันดับต้น ๆ เพราะด้วยความที่เป็นไม้สุดท้ายในการพากระแสไฟสู่เส้นชัยยังห้องเผาไหม้ ซึ่งก็มีได้หลายสาเหตุที่หัวเทียนจะก่อปัญหาให้ ไม่ว่าจะเป็นหัวเทียนบอด หรือเกิดจากการเลือกใช้หัวเทียนผิดประเภท ทั้งการใช้หัวเทียนแบบร้อน หรือเย็นเกินไป ก็จะทำให้เครื่องยนต์ออกอาการไม่พึงประสงค์ได้เช่นกัน จัดการถอดหัวเทียนออกมาตรวจดูลักษณะภายนอกกันก่อน แล้วก็พบผู้ต้องสงสัยกับขั้วหัวเทียนที่ถูกกัดกร่อนด้วยปลั๊กสายหัวเทียนนั่นเอง ประเด็นนี้น่าจะเกิดจากปลั๊กสายหัวเทียนซึ่งเป็นโลหะแข็ง เกิดไม่สนิทแนบแน่นกับสายหัวเทียนซักเท่าไหร่ แต่หากพิจารณาให้ดีก็ไม่น่าจะส่งผลให้เครื่องยนต์ออกอาการขนาดนี้หรือจะเป็นที่ความห่างที่เขี้ยวหัวเทียน คว้า “ฟิลเลอร์เกจ” มาจัดการวัดปรากฎว่าระยะห่างยังอยู่ในมาตรฐานไม่แตกต่างกันมากนัก จุดนี้ผ่าน ดูที่สีของเขี้ยวหัวเทียนกันต่อ ตรงนี้สีกำลังสวยด้วยน้ำตาลอ่อน ๆ ซึ่งนั่นหมายถึงการเผาไหม้ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ทั้งอัตราส่วนของน้ำมันและอาการที่คลุกเคล้ากันค่อนข้างดี สรุปว่าตัดคาร์บูกับกรองอากาศไปได้เลย เพราะน้ำมันได้ อากาศได้ ที่เหลือก็ “ไฟ” แล้วล่ะครับ

            เมื่อไม่ใช่หัวเทียนก็เหลือผู้ต้องสงสัยอีกเพียงรายเดียว คือ “สายหัวเทียน” ซึ่งเรา ๆ ท่าน ๆ มักจะไม่ค่อยสนใจกับเจ้าสิ่งนี้กันนัก ด้วยความที่เห็นว่าภายนอกก็ยังดี ๆ อยู่ ไร้ซึ่งอาการแตก-กรอบของปลอกหุ้มสายแต่อย่างใด ทั้งสีของสายก็ยังสดอยู่ แต่ตรวจดูหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร ในช่วงที่กำลังดึงเจ้าสายหัวเทียนขึ้นมานี่เอง ทุกอย่างก็เปิดเผยกับผู้ต้องหาตัวจริงกับ “สูบ 3” ที่ปลั๊กของสายหัวเทียนหลุดติดกับหัวเทียนไปเลย ตรงนี้บางคนอาจจะส่งสัยว่าทำไมอีตอนดูหัวเทียนไม่เห็นเจ้าปลั๊กนี่ติดอยู่ด้วยเลย ทั้งหมดทั้งปวงก็เพราะว่า เจ้าปลั๊กที่ทำหน้าที่สัมผัสกับลวดภายในหัวเทียนเนี่ยมันคงหลวมมานานแล้ว ส่งผลให้เข้าปลั๊กตัวนี้ไม่แนบสินทอยู่กับขั้วหัวเทียนได้เหมือนเดิม ก็เลยกลายเป็นว่าสูบ 3 เนี่ยไม่เกิดการเผาไหม้เลย แต่ที่บางทีเป็นปกติก็เพราะว่าบางครั้งเจ้าจองรถซึ่งชอบเช็ครถเองอาจเอามือไปดัน ๆ จับ ๆ สายหัวเทียนบ้าง คอยล์บ้าง ก็เลยอาจจะไปกระตุ้นให้เจ้าปลั๊กนี่เกาะติดอยู่กับแกนลวดภายในสายหัวเทียน ทั้ง 4 สูบก็เลยได้ทำงานกันอย่างสงบสุข แต่พอตัวรถขับเคลื่อนไปได้สักพัก แรงสะเทือนจะทำปลั๊กหัวเทียนเริ่มคลายตัวไม่สามารถส่งต่อกระแสไฟไปยังหัวเทียนที่สูบ 3 ได้ ก็เลยกลายเป็นติดบ้างไม่ติดบ้างด้วยประการฉะนี้

            เพื่อความชัวร์จึงจัดการติดเครื่องในขณะที่สายหัวเทียนเสียบอยู่ครบทั้ง 4 เส้น อาการเหมือนเครื่องติดไม่ครบสูบชัดเจนทันที เมื่อดึงปลั๊กสายหัวเทียนสูบ 1,2,3 และ 4 ตามลำดับ ผลปรากฏว่าหากดึงสายหัวเทียนของสูบ 1,2,3 และ 4 ออกเมื่อไหร่เครื่องแทบจะดับในทันที เพราะของเดิมก็หมุนอยู่แค่ 3 พองดจ่ายไปอีก 1 ก็เหลือทำงานอยู่แค่ 2 สูบ ไม่ดับก็บุญจะแย่ แต่ที่สูบ 3 ดึงหรือไม่ดึงก็ค่าเท่ากัน เพราะฉะนั้นจึงต้อง “เปลี่ยน” อย่างเดียวครับ