เทคนิครถยนต์: ดูแลยางหุ้มแร็คพวงมาลัย

เทคนิครถยนต์: ดูแลยางหุ้มแร็คพวงมาลัย

            ก่อนจะไปพูดถึงเรื่องของ “ยางหุ้มแร็คพวงมาลัย” หลาย ๆ ท่านที่ใช้รถยนต์อาจยังไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่า “ระบบบังคับเลี้ยว” ของรถที่ใช้อยู่ทุกวันนี้มีระบบบังคับเลี้ยวแบบใดกันแน่ เอาเป็นว่า “ระบบบังคับเลี้ยว” ในรถยนต์ที่ใช้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีด้วยกันอยู่ถึง 4 แบบ

            แบบเฟืองตัวหนอนและเฟืองเสี้ยว ระบบบังคับเลี้ยวแบบนี้มีชุดกลไกแบบเฟืองเลี้ยวติดต่อแกนบังคับเลี้ยวหรือแขนพิทแมนในภาษาเทคนิค โดยมีเพลาขวาง Cross Shaft หรือ Pitman Shaft เป็นตัวเชื่อมซึ่งจะมีเฟืองตัวหนอนติดต่อกับแกนพวงมาลัยอีกหนึ่งตัว โดยเฟืองทั้ง 2 จะขบกันอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราหักพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางของรถ เฟืองตัวหนอนจะหมุนขัยเฟืองเสี้ยวแลเพลากลาง ทำให้แขนบังคับเลี้ยวเคลื่อนที่พร้อมส่งอาการไปยังชุดคันชัก-คันส่ง โดยปกติแล้วเฟืองเสี้ยวจะสามารถหมุนองศาได้ประมาณ 70 องศาเท่านั้น ส่วนเฟืองตัวหนอนจะหมุนตามการหมุนของพวงมาลัยและขับซี่ฟันเฟืองกับเพลาขวางขับเคลื่อนแขนบังคับเลี้ยวต่อไป โดยที่บริเวณเกลียวส่งกำลังไปยังแขนบังคับเลี้ยวจะมีแบริ่งลูกปืนประกบหัว-ท้ายทำหน้าที่รับภาระแรงดันและปลายสุดจะมีน็อตไว้สำหรับปรับตั้งเกลียวตัวหนอน ในบางแบบจะมีน็อตปรับตั้งที่เพลาขวางอีกด้วย หากสังเกตดี ๆจะเห็นมุมของฟันเฟืองตัวหนอนที่ตอนกลางและปลายมีมุมที่ไม่เกท่ากันซึ่งทำหการขบกันระหว่างเฟืองตัวหนอนและเฟืองเสี้ยวสัมผัสไม่เต็มหน้า ดังนั้นฟันเฟืองของทั้ง 2 ตัว จะต้องไม่มีการขบกันหรือมีระยะ Clearance มากเกินไป

            แบบเฟืองตัวหนอนและลูกกลิ้ง ระบบบังคับเลี้ยวแบบนี้จริง ๆ ถ้าแยกย่อยยังแบ่งออกได้อีกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งบางแบบจะใช้เฟืองตัวหนอนและน็อต โดยใช้น็อตขบกับเฟืองตัวหนอนแทนลูกกลิ้ง ระบบบังคับเลี้ยวแบบนี้จะใช้ลูกกลิ้งเป็นตัวขับเพลาขวางและแขนบังคับเลี้ยวแทนเฟืองรูปเสี้ยว ลูกกลิ้งนี้อาจจะมีตั้งแต่ 1-3 ลูกและปลายของลูกกลิ้งจะมีลูกปืนคอยรองรับเพื่อเป็นการลดแรงเสียดทานในขณะหมุนพวงมาลัย ทำให้ชุดเฟืองตัวหนอนไปหมุนลูกกลิ้งที่ติดกับเพลากลางและแกนบังคับเลี้ยวอีกที เฟืองตัวหนอนนี้บริษัทผู้ผลิตได้ออกแบบให้แกนตรงกลางเรียวคอดลง เพื่อเป็นการเพิ่มหน้าสัมผัสระหว่างเฟืองตัวหนอนกับลูกกลิ้งให้สม่ำเสมอในทุกตำแหน่งที่เฟืองตัวหนอนหมุนไปหาลูกกลิ้งนั่นเอง ระบบบังคับเลี้ยวแบบนี้จะมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าแบบเฟืองตัวหนอนกับเฟืองเสี้ยว แบบนี้บ้านเรานิยมเรียกกันว่า “กระปุกพวงมาลัยแบบลูกปืนตัวหนอน” ปัจจุบันได้ลาจากรถกระบะในบ้านเราไปอย่างถาวรแล้ว

            แบบลูกเบี้ยวและแขน รูปแบบการทำงานของระบบบังคับเลี้ยวนี้จะมีแขนสลักเรียว ๆ ทำหน้าที่แทนเฟืองเสี้ยว ปลายของแขนจะมีสลักซึ่งขบพอดีกับร่องเฟืองตัวหนอน เมื่อเฟืองตัวหนอนหมุนทำให้สลักตัวนี้เคลื่อนที่ไปตามร่องจนทำให้แกนบังคับเลี้ยวพาแขนบังคับเลี้ยวหมุนตามไปด้วย ส่วนเฟืองตัวหนอนจะมีลักษณะเป็นลูกเบี้ยว ปลายทั้ง 2 ข้างจะมีความหนากว่าตรงกลางทำให้อัตราทดของตอนกลางน้อยกว่าตอนปลาย ทำให้มีมุมเลี้ยวที่มากกว่าระบบบังคับเลี้ยวแบบนี้จะมีความเบาเมื่อมีการเลี้ยวในมุมแคบน้ำหนักของพวงมาลัยจะหนักขึ้นเมื่อมีการเลี้ยวในมุมกว้าง ช่วงลดแรงเสียดทานในขณะเลี้ยวมุมแคบ ทำให้ความมั่นคงและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรถที่มีน้ำหนักตัวค่อนข้างมาก

            แบบเฟืองสะพาน ระบบบังคับเลี้ยวชนิดนี้จะมีรูปแบบของเฟืองสะพานหรือนิยมเรียกกันว่า “เฟืองสับเฟือง” แต่ในปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า “แร็คแอนด์พิเนี่ยน” ด้วยรูปแบบการทำงานของมันจะมีรางเฟืองเป็นส่วนหนึ่งของคันชักที่ต่อเชื่อมไปยังล้อคู่หน้า แล้วมีเฟืองจากแกนพวงมาลัยคอยหมุนขยับให้ตัวรางเลื่อนไป-มาได้อย่างอิสระ คุณสมบัติเด่นของระบบเลี้ยวแบบนี้อยู่ตรงที่ความแม่นยำเที่ยงตรงให้ความรู้สึกที่ดียามสัมผัส แต่มันมีข้อเสียอยู่ตรงที่เปราะบางเกินไป เก็บอาการสั่นสะเทือนที่สะท้อนมาจากพื้นถนนไม่ค่อยดีจนสร้างความรำคาญให้กับผู้ขับขี่และในยุคหลัง ๆ ระบบบังคับเลี้ยวแบบนี้มีการพัฒนาแก้ไขไปอีกขั้นจนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ระบบบังคับเลี้ยวแบบนี้กำลังได้รับความนิยมในรถกระบะยุคนี้

            ส่วน “ยางหุ้มแร็คพวงมาลัย” มีหน้าที่เป็นตัวกันฝุ่นผงละออง น้ำ เศษหินและป้องกันพวกคราบจาระบีหรือน้ำมันเพาเวอร์รั่วไหลออกมาจากแร็คพวงมาลัย ติดตั้งอยู่ปลายทั้ง 2 ฝั่งของแร็คพวงมาลัย โดยปลายด้านหนึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเสื้อของแร็คพวงมาลัยเพื่อให้สวมใส่เข้าไปอย่างพอดี เสร็จแล้วถึงมีเข็มขัดรัดเอาไว้อีกทีหนึ่ง ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งจะมีขนาดเล็ก แต่ก็โตกว่าแกนของคันชัก-คันส่ง แล้วจะมีเข็มขัดรัดเอาไว้อีกทีหนึ่ง เพียงเท่านี้ฝุ่นละอองหรือพวกเศษหินและน้ำก็หมดสิทธิ์เล็ดลอดเข้าไปรบกวนโดยสิ้นเชิง กลับกันถ้ายางหุ้มแร็คเริ่มเสื่อมสภาพหรือขาด โอกาสที่เศษฝุ่นละออง น้ำหรือเศษหินเล็ดลอดเข้าไปส่งผลร้ายกับแร็คพวงมาลัยโดยซีลปลายแร็คทั้ง 2 ฝั่งจะเกิดการฉีกขาด และเมื่อเกิดการฉีกขาดโอกาสที่น้ำ เศษฝุ่นละอองและเศษหินเล็ดลอดเข้าไปได้ ถ้าเป็นแร็คพวงมาลัยแบบธรรมดาพวกจาระบีที่หล่อลื่นแกนและขุดฟันเฟืองของแร็คแอนด์พิเนี่ยน คงไหลออกมาจากแกนแร็คพวงมาลัยได้เมื่อนั้น ถ้าจาระบีเล็ดลอดออกมาหมดมันจะส่งผลร้ายต่อแกนแร็คและชุดฟันเฟืองโดยตรง กลับกันถ้าเป็นแร็คเพาเวอร์อันนี้โหดร้ายกว่าเพราะถ้าซีลปลายแร็คเกิดฉีกขาดน้ำมันเพาเวอร์ที่คอยเลี้ยงผ่อนแรงและระบายความร้อนก็จะรั่วไหลออกมา ทำให้แรงดันภายในปั๊มแรงดันลดลง ผลร้ายไม่ใช่แค่แร็คอย่างเดียวตัวปั่นสร้างแรงดันก็จะกลับบ้านเก่าไปด้วย

            อีกจุดหนึ่งที่เกิดปัญหาเหมือนกันกับแร็คพวงมาลัยทั้ง 2 แบบ ก็คือ แกนพวงมาลัยที่เป็นเฟืองสะพานจะเกิด “ตามด”ตรงนี้ต่อให้แก้ไขด้วยการเปลี่ยนซีลปลายแร็คก็ไม่มีทางหาย ในกรณีที่เป็นตามดน้อย ๆ ยังพอขัดแต่งเก็บรอยได้ แต่ถ้าเป็นเยอะก็หมดสิทธิ์ต้องเปลี่ยนแกนพวงมาลัยหรือยกชุดแร็คพวงมาลัยใหม่ทั้งเส้น ส่วนสาเหตุที่ยางหุ้มแร็คขาดมีอยู่ด้วยกันหลายกรณีไม่ว่าจะเป็นการหักเลี้ยวพวงมาลัยสุดจนเกินไปบ่อยครั้ง ยางหุ้มแรคก็จะยืดสุดและหดสุดจนเกินไป ทำให้ยางเกิดการยืดตัวเกินขนาดบ่อยครั้ง ยางหุ้มแร็คมันก็ย่อมเริ่มเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือหากยางหุ้มแร็คโดนน้ำมันไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเบนซินมาก ๆ คุณสมบัติหรือสสารในน้ำมันเหล่านี้จะไปกัดกร่อนยางหุ้มแร็คให้เปื่อยจนฉีกขาดได้ในที่สุด

            วิธีการแก้ไขหากเกิดยางหุ้มแร็คขาด การซ่อมบำรุงด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ หากเครื่องไม้เครื่องมือครบครันก็สามารถทำด้วยตัวเองได้อย่างสบาย ๆ แต่ต้องใจเย็นและใช้ความละเอียดโดยเฉพาะช่วงก่อนปลดน็อตล็อคกันคลายของลูกหมากปลายคันชัก-คันส่ง ควรมีการทำมาร์คไว้ให้เรียบร้อยเสียก่อน มุม Toe In/Toe Out จะเปลี่ยนไปจากเดิม

            ก่อนลงมือทำด้วยตัวเอง ควรตรวจเช็คด้วยว่าจุดยึดของแร็คพวงมาลัยนั้นซ่อนอยู่ลึกขนาดไหน เราสามารถทำเองในกรณีที่ต้องมีการปลดล็อคเข็มขัดหรือถอดยางหุ้มแร็คออก ควรเช็คให้ดีก่อนว่าสามารถทำด้วยตัวเองไหวหรือไม่ ถ้าไหวก็จัดการทำได้เลย แต่ถ้าไม่ไหวก็นำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ที่ดูแลรถกันเป็นประจำจัดการให้ก็ได้ และหลังจากทำเสร็จควรนำรถไปตั้งศูนย์ล้อใหม่เพื่อความชัวร์ก่อนการใช้งานด้วยครับ