เทคนิครถยนต์: ขจัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร
เรื่องของเรื่องคือ เดิมภายในห้องโดยสารก็สงบเงียบดีอยู่ พอไปสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับภายในห้องโดยสารมาเท่านั้นแหละความสงบเงียบถูกรุกรานทันที กับกระจกบานข้างทั้ง 4 บานที่ไปหิ้วของตัวนอกมาใส่ซะงั้น ร้อนก็ร้อน ดำก็ดำ ตามมาด้วยของแถมที่ไม่ต้องการ คือ เสียงดังแก๊ก ๆ เหมือนมีโลหะชิ้นเล็ก ๆ กระทบกับกระจกตลอดเวลาที่เคลื่อนผ่านเส้นทางที่ขรุขระ ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งเหิมเกริม ท่าจะเลยตามเลยไม่ได้ซะแล้ว
ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ประตูหน้าฝั่งผู้โดยสารดังที่กล่าวไปแล้ว และวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ก็ต้องรื้อ-แกะเพื่อค้นหาต้นตอว่าชิ้นส่วนใดที่ก่อการร้ายให้มีเสียงที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมา งานนี้บอกได้เลยว่าได้รื้อกันเป็นที่สนุกสนานแน่ เพราะไอ้เจ้าของก็ไม่กล้ารื้อ กลัวชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติกจะแตกจะหัก ก็เลยต้องไหว้วานมือรื้อประจำอ๊อฟฟิศกันซักนิดซักหน่อยเพราะงานไม่เยอะ แถมไม่ต้องออกแรงมาก แต่ต้องเอารถเข้าจอดในที่ร่ม ๆ หน่อยไม่งั้นเดี๋ยวพี่แกเหนื่อยแล้วจะร้องงอแงเอาน้ำอัดลมดำ ๆ ใส่น้ำแข็งเพิ่ม
ก่อนอื่นก็ต้องมองหาที่จอดรถกว้าง ๆ นุ่ม ๆ ให้สามารถเปิดประตูเจ้าปัญหาได้แบบอ้าสุด ๆ ทำงานสบาย ๆ เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ประกอบไปด้วยไขควงแฉก,คีมปากจิ้งจก,ตัว T No.10 และประแจแหวน No.10 เท่านั้น เริ่มแรกก็ต้องถอดน็อตหัวแฉกที่ยึดแผงประตูออกก่อน ซึ่งจะมีทั้งหมด 2 จุด คือที่มือเปิดและที่ประตูตรงเท้าแขนเท่านั้น ที่เหลือจะยึดไว้ด้วยคลิปหลังแผงประตูอีก 8 จุด ซึ่ง 8 ตัวหลังนี่ไม่ต้องใช้เครื่องมือ แค่เอามือแงะก็ออกแล้ว
และที่ต้องการความละเอียดและเบามือจริง ๆ ก็คือ มือเปิดประตู เพราะด้านในมันจะมีจุดยึดกลอนประตูกับมือเปิด ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นพลาสติกที่ค่อนข้างบอบบาง ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นจุดหมุนและประคองแขนกลอนประตูกับมือเปิดนั่นเอง และสุดท้ายเจ้าของรถมันก็ทำแตกไปจริง ๆ ซะด้วย ถ้าเป็นแถวบ้านเค้าเรียกว่า “งานเข้า” หลังจากทำใจกับชิ้นส่วนที่แตกไปแล้วได้ ก็เข้าสู่การถอดแผงประตูกันต่อ อันนี้ง่ายหน่อยก็แค่ออกแรงดึงนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ผละออกจากบานประตูได้อย่างง่ายดาย แต่ห้ามกระชากเด็ดขาด เพราะด้านหลังจะมีชุดสายไฟของสวิทช์กระจกไฟฟ้าเสียบอยู่ ต้องปลดข้อต่อออกก่อนแล้วจึงจะสามารถจับแยกย้ายกันไปคนละทิศละทางได้ ตามมาด้วยชิ้นส่วนสุดท้ายกับโครงเหล็กยึดที่เท้าแขน กับน็อตหัวแฉกอีก 2 ตัวจัดการถอดมันซะ
รื้อแผงประตูออกไปแล้วจะเหลือปราการอีกชั้นให้ปลดเพื่อเปลือยบานประตูให้ได้เห็นสัดส่วนเบื้องลึก กับ Plastic Cover หรือแผ่นพลาสติกบาง ๆ ที่จะทำหน้าที่ป้องกันฝุ่นและความชื้นไม่ให้กล้ำกรายสู่โครงเหล็กภายในมากนัก แต่มันจะออกเลอะ ๆ เหนอะ ๆ หน่อย เนื่องจากซีลที่ใช้ปิดโดยรอบจะเป็นเหมือนซิลิโคนเหนียว ๆ ที่เลอะแล้วล้างออกยากซะมัด ระวังจะพานไปติดยังที่อื่น ๆ ภายในห้องโดยสาร พอลอกเอาเจ้าแผ่นพลาสติกออกจะพบกับโครงเหล็กของบานประตู ซึ่งจะเป็นแหล่งพักพิงของบรรดาอุปกรณ์-ชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในบานประตูเกือบทั้งหมด ซึ่งเกือบทุกจุดยึดไว้ด้วยน็อต No.10 ต้องไล่ขันทีละจุด เพราะบางทีอาจจะมีตัวไหนหลวมจนกระทบกับกระจกได้ และเท่าที่ลองไล่ขันแต่ละจุด ก็พบว่ามันเริ่มคลายตัวกันเกือบทั้งนั้น ตรงนี้ก็ต้องใช้ตัว T No.10 ค่อย ๆ ไล่ขันไปทีละจุด เพราะเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะเป็นสาเหตุให้เกิดเสียงด้วยหรือเปล่า จากนั้นก็ค่อย ส่องเข้าไปดูภายในบานประตูผ่านบรรดาช่องต่าง ๆ ที่มองด้วยตาเปล่ามันจะมืดต้องอาศัยไปฉายเป็นตัวนำทางแล้วสังเกตดูว่ามันมีชิ้นส่วนไหนไม่อยู่กับร่องกับรอยบ้างหรือเปล่า
หลังจากที่ขยับนู่นขยับนี้ไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็ไปเจอต้นตอที่ทำให้เกิดเสียงจนได้ กับรางกระจกที่ขันน็อตมาไม่แน่น เป็นสาเหตุให้กระจกขยับตัวขึ้น-ลงอยู่ในราง จนก่อให้เกิดปัญหาเรื่องเสียงตามมา และเพื่อความชัวร์ก็ต้องลองกดสวิทช์ให้กระจกขึ้นสุดลงสุดจะได้แน่ใจว่าไม่ได้เกิดขึ้นที่ชิ้นส่วนอื่น ๆ แต่พอถอดเอาสวิทช์ควบคุมฝั่งผู้โดยสารออกติดกับแผงประตูไปด้วย กลับไม่สามารถใช้งานได้ แม้ว่าจะสั่งการที่สวิทช์ฝั่งคนขับแล้วก็ตาม เลยต้องแกะเอาสวิทช์ควบคุมกระจกฝั่งผู้โดยสารมาเสียบชั่วคราว จึงจะสามารถใช้งานได้ตามปกติ จากนั้นก็ปิดประตูสตาร์ทเครื่องลองไปวิ่งระยะทางใกล้ ๆ เพื่อจับอาการว่ายังมีเสียงรบกวนหลงเหลืออยู่เหมือนเดิมบ้างหรือเปล่า ห้ามเปิดระบบปรับอากาศ-พัดลม ตลอดจนเครื่องเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อให้เสียงที่จะเล็ดลอดออกมานั้นโดดเด่นเป็นที่สุด หลังจากที่ลองวิ่งไป 3-4 รอบก็ให้ผลดังที่ต้องการ คือ เสียงที่เคยได้ยินจากประตูบานเดิมได้หายไปแล้ว ก็จอดเข้าที่และประกอบเข้าอย่างเดิมเป็นอันว่าจบ
อีตอนใส่เนี่ยสำหรับปลด-ล็อคประตูอยู่ โดยด้านในจะเป็นเกลียวให้สามารถปรับตั้งความสูง-ต่ำของเจ้าตัวกลอนนี้ได้ หากว่าของเดิมมันสูงไปหรือเตี้ยไปก็สามารถจัดการได้ทันที จะได้ไม่เสียเที่ยว ก็อย่างที่บอกในตอนต้นไปแล้วว่า หลาย ๆ ชิ้นส่วนค่อนข้างบอบบางและอีกอย่างก็คือผ่านร้อนผ่านหนาวมาค่อนข้างเยอะ มันก็ต้องมีเสื่อมบ้างเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ก็ต้องเบามือและระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะบางอย่างไม่สามารถเบิกแยกชิ้นได้ ต้องเบิกรวมอย่างเดียว ซึ่งราคาฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับกระเป๋าตังค์ซักเท่าไหร่ด้วย