เคล็ดลับซื้อรถมือสอง รวมเทคนิคและวิธีการเลือกซื้อรถมือสอง คลิก!! More

เทคนิครถยนต์: เล่นกับล้อและยาง

เทคนิครถยนต์: เล่นกับล้อและยาง

            การเปลี่ยนล้อกับยางให้แตกต่างไปจากของเดิมติดรถก็เพื่อความสวยงาม แต่เมื่อจะเปลี่ยนนอกจากลวดลายที่สวยงามต้องรู้ว่ารายละเอียดสำคัญกันด้วย
            ขนาดล้อที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้วไม่มากก็น้อย เช่น 6 J x 15 ส่วนมากพวกเราสนใจกันแค่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อที่เลือกว่ากี่นิ้ว เช่น ในตัวอย่างเลข 15 คือ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ (Wheel Diameter) วัดได้ 15 นิ้ว ซึ่งในปัจจุบันรถส่วนมากไม่ว่าจะเป็นรถกระบะหรือจะเป็นรถยนต์ขนาดล้อมาตรฐานที่ติดมากับรถจะอยู่ที่ 15 นิ้ว เป็นอย่างต่ำซึ่ง ต่างจากเมื่อสมัย 10 ปีที่แล้วล้อขนาด 13 นิ้ว ยังมีให้เห็นอยู่เลย

            ส่วนเลข 6 J เราจะแยกเป็นตัวเลข 6 นั่นคือขนาด 6 นิ้ว เป็นความกว้างของกระทะล้อ (Rim Width) มีหน้าที่ช่วยให้เราสามารถเลือกใส่ขนาดความกว้างของหน้ายางได้ถูกต้องลงตัวกับขนาดความกว้างของกระทะล้อ ส่วนตัวอักษรภาษาอังกฤษ “J” เป็นรูปแบบของขอบกระทะล้อครับหรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า Rim Flange

            ตัว H หรือ Bolt Hole หมายถึง รูน็อตที่ยึดล้อเข้ากับดุม ส่วนตัวเลขที่กำกับมาแสดงให้เราได้รู้ว่าล้อที่ถืออยู่ในมือมีกี่รูปเช่น 6 H ก็หมายความว่ามีรูน็อตอยู่ 6 รู

            PCD (Pitch Circle Diameter) คือ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่างรูน็อตมีหน่วยวัดเป็น “มิลลิเมตร” เช่นในรถกระบะบ้านเราส่วนมากจะมีขนาด PCD 139.7 มม. เป็นมาตรฐาน แต่จะมีรถกระบะบางยี่ห้อมีขนาด PCD เป็น 114.3 มม. ก็คงต้องเลือกกันให้ดี ใช่ว่ารถกระบะจะมีขนาด PCD เท่ากันหมด

            Offset หรือ ET ระยะอ๊อฟเช็ทเป็นการวัดจากระยะ Centerline ของล้อถ้ามองจากด้านข้างล้อ จุดกึ่งกลางของล้อกับตัวหน้าแปลนล้ออยู่ในแนวเดียวกันจะเรียกว่า Offset 0 หรือเขียนว่า “ET 0” มีความหมายเหมือนกัน โดยถ้ามีระยะอ๊อฟเช็ทเป็นบวก ตัวหน้าแปลนล้อจะขยับจากจุด Centerline มาด้านนอก เช่น ET 38,ET 40 แต่ถ้าตัวหน้าแปลนล้อนี้ขยับเข้าด้านในก็จะมีค่าเป็นลบ เช่น ET-30 , ET-38

            ยังมีจุดสำคัญอีกจุดที่เกี่ยวกับล้อนั่นก็คือ “Center Hub” เป็นขนาดผ่าศูนย์กลางของตัวดุมล้อที่จะประกบเข้ากับดุมล้อรถซึ่งในบางครั้งตัวดุมล้อรถแต่ละรุ่นจะมีขนาดไม่เท่ากัน ทางแก้ไขคือจะมีชุดคิทผลิตออกมาขายในชื่อ “Center Ring” ที่ผลิตมาจากพลาสติกหรือโลหะใส่เข้าไปเพื่อทำให้แน่นพอดี ถ้าเราไม่คำนึงในจุดนี้คิดว่าขนาด PCD เท่ากันแล้วก็ไม่น่าเป็นอะไร ซึ่งในความเป็นจริงแล้วถ้าขนาดไม่ฟิตพอดีจะเกิดอาการสั่น เมื่อใช้ความเร็วใดความเร็วหนึ่ง ๆ คล้ายกับอาการล้อไม่กลมที่เราต้องมานั่งถ่วงล้อกัน

            นี่เป็นเกร็ดความรู้เล็กน้อยที่หลายคนอาจยังไม่รู้ก็เป็นได้ เมื่อรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องล้อ ๆ กันแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องยางกันบ้าง บางท่านอาจคิดว่าไม่น่าสนใจเลย อยากใส่ยางขนาดไหนก็ใส่ แต่รายละเอียดของยางนั้นมีอีกมาก ลองดูตัวอย่างยางเส้นหนึ่งที่แจ้งไว้ว่า “195/60 R 15 87 S

            ตัวเลขหน้า 195 คือ ขนาดความกว้างของหน้ายางมีหน่วยเป็น “มิลลิเมตร” เมื่อเราต้องการใส่ยางหน้ากว้างสิ่งที่จำเป็นต้องรู้คือ ขนาดหน้ากว้างของกระทะล้อที่จะนำยางไปใส่ ถ้าขนาดเล็กไปอาจทำให้ไม่สามารถใส่ยางลงไปได้ แต่ถ้าขนาดหน้ากว้างของล้อใหญ่ไปถึงใส่ยางลงไปได้ แต่ก็ไม่สามารถอัดลมเข้าไปได้เพราะตัวขอบยางกับขอบล้อจะไม่แนบสนิททำให้ลมรั่วออกได้ครับ

            เลขตัวต่อมาคือ 60 ส่วนมากเราจะรู้จักกันในนามว่าซีรี่ส์ยาง ถ้าพูดแบบไทย ๆ คือ “แก้มยาง” นั่นเอง ความหมายของเลข 60 คือ ความสูงของแก้มยางมีสัดส่วนเมื่อเทียบกับความกว้างของหน้ายางเป็น 60 เปอร์เซ็นต์

            เลข R 15 เป็นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางด้านในของยาง ถ้าเป็นเลข “15” คุณต้องใช้ล้อขนาด 15 นิ้วเท่านั้น ไม่สามารถใช้ขนาดอื่นแทนได้

            เลข “87 S” เป็นรหัสการรับน้ำหนักของยางเส้นนั้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรถกระบะที่ต้องใช้งานบรรทุก ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นรถกระบะพวกนี้ชอบใส่ล้อขนาด 17 นิ้ว ยางแก้มเตี้ยซึ่งไม่เหมาะสม ยางระเบิดเกิดอุบัติเหตุบ่อย ๆ
            นอกจากนี้ยังมีรหัสอีกสามตัวคือ Z เป็นยางที่ใช้ความเร็วได้เกิน 240 กม./ชม. และนอกจากนี้เราจะเห็นยางพวกสปอร์ตคาร์ตัวแรงจะมีรหัสเป็น 255/35 ZR 19 88 W ถ้ามาในรหัสแบบนี้ที่มีภาษาอังกฤษตัว “W” มาคุมอยู่ ขอให้คุณทราบไว้เลยว่ายางตัวนี้สามารถรองรับความเร็วได้ถึง 270 กม./ชม. แต่ถ้าเห็นเป็นเลข 255/35 ZR 19 88 Y เปลี่ยนเป็นตัว “Y” แบบนี้สามารถกดคันเร่งขึ้นไปได้ถึง 300 กม./ชม. และยังมีแต่ต่อไปอีก ซึ่งถ้าเห็นรถที่ใส่ยางรหัส 255/35 ZR 19 (88 Y) อันนี้เพิ่มวงเล็บเข้ามาถ้าเจอแบบนี้ความเร็วสูงที่ยางตัวนี้จะรองรับได้เกินกว่า 300 กม./ชม. คราวนี้จะเลือกใช้ยางแบบไหน ประเภทอะไรก็ให้ดูกันสักนิด

            สำหรับรถกระบะในบ้านเราเริ่มจากพวกรถกระบะแบบ 4 x 2 ขนาดยางมาตรฐานที่รถกระบะประเภท 4 x 2 บริษัทผู้ผลิตให้ขนาดมาเป็น 195 R 15 หรือเป็น 215/70 R 15 อยู่ที่รุ่นของรถ และอย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าคนที่ซื้อรถมาอันดับแรกการแต่งรถคงหนีไม่พ้นการเปลี่ยนล้อกับยาง คนที่เบี้ยน้อยหอยน้อยอาจจะเล่นแค่ล้อขนาด 15 นิ้วก่อน ส่วนยางที่ใส่ได้เต็มที่เลยมีขนาด 235/70 R 15 แต่ถ้าอยากได้ยางในสไตล์ 4 x 4 ตัวยางก็จะมีให้เลือกอีกตั้งแต่ 245/70 R 15 เลือกได้ตามสบาย แต่ถ้าขนาดเกินนี้แล้วยางในบ้านขอบ 15 คงไม่มีให้เลือกกันแล้ว เมื่อขยับขนาดล้อขึ้นมาเป็น 17 นิ้ว ขนาดยางที่ใส่กันจะมี

            2155/55 R 17 , 225/55 R 17 , 225/50 R 17 , 215/45 R 17 , 225/45 R 17 , 215/40 R 17 , 225/40 R 17 , 255/40 R 17 สำหรับรถกระบะขับสองแล้วล่ะก็ล้อขนาด 17 นิ้ว เป็นที่นิยมเล่นกันมาก
            แต่ถ้าขยับขึ้นมาเล่นกับล้อ ขนาด 18 นิ้วแล้ว ขนาดยางก็มีให้เลือกมากมายหลากหลายตั้งแต่ 225-265 แก้มยางมให้เลือกตั้งแต่ 35-45 ขนาดนี้ใส่แล้วไม่มีปัญหาการติดขัดถ้าขยับขึ้นมาเล่นล้อขนาด 20 นิ้วแล้วยางที่นำมาใส่มีขนาดไม่เกิน 245/35 R 20 ยังพอที่จะใส่ได้ เวลาเลี้ยวไม่ติด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องดูด้วยว่าระยะ Offset ของล้อนั้นเหมาะสมหรือไม่ บางทีเวลาเลี้ยวคุณจะไม่สามารถหักพวงมาลัยได้สุด เพราะหน้ายางอาจไปสีบังโคลนด้านในได้

            ถ้ามาดูพวกรถกระบะ 4 x 4 เดิม ๆ ล้อติดรถมานั้นขนาดอยู่ที่ 16 นิ้ว ยางมากับขนาด 245/70 R 16 หรือ 265/70 R 16 แล้วแต่ยี่ห้อ ล้อขนาด 16 นิ้ว จะใส่ยางได้เต็มที่ไม่เกิน 265/75 R 16 ระดับรถ 4 x 4 แล้วขนาดล้อ 18-19 นิ้ว ผมขอไม่พูดถึงเป็นที่เข้าใจทั่วหน้าว่าใส่ได้ มาดูที่ขนาดล้อ  20 นิ้วกันเลย ไล่กันไปเลยตั้งแต่ขนาด 265/45 R 20 , 275/45 R 20 , 295/40 R 20 , 305/35 R 20 ซึ่งถ้าคำนวณกันแล้วยางพวกนี้มีความสูงไม่เกิน 30 นิ้ว แต่ที่น่าเป็นห่วงคือขนาดหน้ากว้างของยางที่เป็นอุปสรรคในการใส่ จุดสำคัญคือเลือกระยะ Offset ล้อให้ดี

            ถ้าไม่แน่ใจก็สามารถสอบถามกับทางร้านขายล้อและยางได้ เชื่อว่าทางร้านต้องให้คำแนะนำได้อยู่แล้ว ร้านไหนไม่พอใจไม่อยากตอบก็ไปหาร้านใหม่ดีกว่า ล้อยางชุดหนึ่งราคาไม่ใช่บาทสองบาทนะ


บทความรถยนต์ที่น่าสนใจ