เคล็ดลับซื้อรถมือสอง รวมเทคนิคและวิธีการเลือกซื้อรถมือสอง คลิก!! More

ทดลองขับ ฟอร์ด เฟียสต้า รุ่นท็อป 1.6 ทั้ง 4 ประตู และ 5 ประตู

ford fiesta รุ่น 5 ประตูฟอร์ด เฟียสต้า รถที่ถูกกล่าวถึงมานานกว่าปี ด้วยข่าวที่มีมาตลอดถึงรถเล็ก ในเซ็กเมนต์ของรถซิตี้คาร์บ้านเราที่ค่ายฟอร์ดเตรียมตัวจะส่งออกมาลงสู้ศึก ในตลาดรถยนต์ นับได้ว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันที่ดุเดือดลำดับต้น ๆ ของบ้านเรา ด้วยระดับราคาที่ไม่สูงมากนัก อยู่แถว 5-7 แสนบาท อันเป็นช่วงราคาที่เอื้อต่อการเป็นเจ้าของของคนในวัยเริ่มต้นการทำงาน ไปจนถึงกลุ่มนักศึกษา ด้วยเหตุนี้เอง หลาย ๆ บริษัทต่างพยายามเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้กันอย่างดุเดือด
ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ เปิดตัวในบ้านเราภายใต้การผลิตจากโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ที่ จ.ระยอง ด้วยมาตรฐานระดับสากล เพื่อนำออกจำหน่ายทั้งในบ้านเราและยังมีการส่งออกไปขายยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย สำหรับในบ้านเรา ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ เปิดตัวพร้อมกันถึง 2 เวอร์ชั่น ที่มีให้เลือกใช้งานกันทั้งในแบบ 4 ประตู และแบบ 5 ประตู ตามความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่แตกต่างของแบบ 4 ประตู และแบบ 5 ประตูแล้ว ในเรื่องของเครื่องยนต์ยังมีมาให้เลือกใช้งานถึง 2 ขนาด โดยเริ่มจากรุ่นเล็กสุดในรุ่น 1.4 ลิตร ไปจนถึงรุ่นใหญ่อย่างรุ่น 1.6 ลิตร ที่มาพร้อมเกียร์ PowerShift แบบ 6 สปีด หากจะว่าไปแล้ว เฟียสต้า ใหม่ สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 รุ่น โดยแบ่งจากแบบของตัวถัง ขนาดของเครื่องยนต์และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่แตกต่างกัน อย่างในเวอร์ชั่น 4 ประตูนั้น จะมีอยู่ด้วยกันถึง 4 รุ่น เริ่มตั้งแต่รุ่นเล็กสุด 1.4 Style MT, 1.4 Style AT, 1.6 Trend PowerShift และ 1.6 Sport PowerShift ส่วนในเวอร์ชั่น 5 ประตูจะมีอยู่ด้วยกันถึง 3 รุ่น เริ่มตั้งแต่ 1.4 Style AT, 1.6 Trend PowerShift ไปจนถึงรุ่นสูงสุด 1.6 Sport PowerShift จะเห็นได้ว่าในเวอร์ชั่น 5 ประตูนั้น จะไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดาเหมือนในเวอร์ชั่น 4 ประตูมาให้เลือกใช้

testdrive ford fiesta

ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ มีทั้งแบบ 4 ประตู และ 5 ประตู ซึ่งรุ่นที่เราจะนำมาทำการทดสอบกันนี้ เราได้จับเอารุ่นท็อปของทั้ง 2 เวอร์ชั่น (1.6 Sport PowerShift) มาดูถึงความแตกต่างและประโยชน์ใช้สอย ที่ได้รับการออกแบบมารองรับการใช้งาน ที่แตกต่างกันตามความต้องการที่ไม่เหมือนกัน

หรูหรา & สปอร์ต 2 ทางเลือกใหม่จากฟอร์ด เฟียสต้า

เริ่มต้นมาทำความรู้จักกับรูปลักษณ์ของฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ ที่ภายนอกกันก่อน ซึ่งในวันนี้เรามีมาทั้งสองเวอร์ชั่น ทั้งในแบบ 4 ประตู และแบบ 5 ประตู ที่หากมองแต่เพียงด้านหน้าของตัวรถแล้ว อาจจะแยกกันไม่ออกถึงความแตกต่าง เพราะด้วยพื้นฐานในการออกแบบเดียวกันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ ทั้งในแบบ 4 ประตู และแบบ 5 ประตู มีดีไซน์ส่วนหน้าที่เหมือนกัน ตั้งแต่ชุดไฟหน้าที่เรียวยาว รวมไว้ซึ่งไฟสูง-ไฟต่ำ และไฟเลี้ยวเข้าไว้ในโคมเดียวกัน กันชนหน้าขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบให้รับขึ้นมาถึงส่วนกระจังหน้าตามแบบฉบับของ รถปัจจุบันนี้ โดยบริเวณกึ่งกลางของตัวกันชนถูกออกแบบให้เป็นช่องรับลมขนาดใหญ่ รูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ที่ยังมีการเล่นแนวเส้นอะลูมิเนียมสีเงินเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ขนานมุมทั้งสองข้างของตัวช่องลม ถัดไปทางด้านข้างเป็นที่อยู่ของชุดไฟสปอตไลต์ทรงกลม ที่มีการเล่นขอบเป็นโครเมียมอีกนิด ช่วยเติมความหรูหราให้มุมมอง ซึ่งหากเป็นรุ่นที่รองลงมา เจ้าช่องสปอตไลต์นี้จะถูกปิดเป็นช่องสีดำที่ดูคล้ายช่องลมเท่านั้น มุมมองด้านข้างครึ่งหน้ายังคงให้ความคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวกระจกมองข้างที่มาพร้อมไฟเลี้ยว ก็ยังคงเป็นชุดเดียวกัน จะมาเริ่มสร้างความแตกต่างก็ตรงส่วนท้าย ที่ในรุ่น 4 ประตู จะให้มุมมองออกไปทางแนวหรูหรา อันเป็นอารมณ์ที่แตกต่างกับรุ่น 5 ประตู ที่มากันในแนวสปอร์ตอย่างชัดเจน อีกทั้งสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือสุดของตัวกระจกหลัง มาพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม สามารถเติมเต็มอารมณ์สปอร์ตให้กับรุ่น 5 ประตูได้มาก ไฟท้ายขนาดใหญ่ที่ทอดยาวขึ้นไปทางด้านบนของรุ่น 5 ประตู ช่วยสร้างบุคคลิกเฉพาะตัวได้มาก

ไฟท้าย ford fiesta รุ่น 5 ประตู
ภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกแบบอเมริกันสไตล์ แต่อาจไม่เหมาะกับคนตัวใหญ่ ภายในห้องโดยสารนั้น ทั้ง 2 เวอร์ชั่นยังคงให้อารมณ์ที่คล้ายกัน จากดีไซน์ของคอนโซลหน้าที่ดูล้ำยุค พร้อมการจัดวางอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในสไตล์ยุโรป สามารถเติมเต็มความรู้สึกของรถแบรนด์อเมริกาได้มาก (แม้จะรู้อยู่แล้วว่าใช้พื้นฐานในการออกแบบเดียวกับมาสด้า2 ก็ตามที) อย่างเช่น ชุดวิทยุ-ซีดี แบบที่ติดตั้งมาให้เป็นส่วนหนึ่งของคอนโซลหน้า
แผงหน้าปัด ford fiesta
โดยทำงานร่วมกับชุดจอแสดงผลสีส้มที่ใช้บอกสถานะของ ระบบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ-ซีดี โทรศัพท์ ไปจนถึงระบบเตือนต่าง ๆ เช่น ลืมปิดประตูหรือปิดไม่สนิทแล้วเคลื่อนที่รถ อีกทั้งยังทำงานสัมพันธ์กันกับระบบสั่งงานด้วยเสียง (Voice Control) ที่ช่วยให้คุณสามารถสั่งควบคุมการเปลี่ยนคลื่นวิทยุ โทรศัพท์ ไปจนถึงอุณหภูมิแอร์ (อันนี้เฉพาะรุ่น 4 ประตู เพราะเป็นรุ่นเดียวที่เป็นแอร์แบบออโต้) เพียงแค่กดปุ่มเริ่มคำสั่งที่จะติดตั้งไว้ที่ก้านไฟเลี้ยวทางด้านซ้ายมือของ คอพวงมาลัย (ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ ยังคงใช้ก้านควบคุมไฟเลี้ยวอยู่ทางด้านซ้ายมือของคอพวงมาลัยตามสไตล์ของรถ ยุโรป อเมริกา ที่เป็นพวงมาลัยซ้าย) ระบบก็จะเริ่มถามสลับ กับให้เราตอบหรือสั่งการเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งจากการทดลองใช้อยู่พักใหญ่ ๆ กลับพบว่า ในการสั่งงานนั้น นอกจากจะสั่งงานด้วยภาษาอังกฤษแล้ว ในบางคำสั่งยังคงต้องใช้ความสามารถทางภาษาที่ดีเยี่ยม ไม่เช่นนั้นระบบอาจจะไม่เข้าใจในคำสั่งของเราได้ งานนี้เห็นทีจะต้องไปลงเรียนคอร์สฝึกภาษาเพิ่มกันเป็นแถว….

ความแตกต่างของรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตู

ห้องโดยสาร ford fiesta

ในส่วนของภายในห้องโดยสาร ที่นอกเหนือจากส่วนต่อของห้องโดยสารหลังกับห้องเก็บสัมภาระแล้วนั้น ในเรื่องของอุปกรณ์ภายในก็จะมีแตกต่างกันอยู่บ้างหลายจุด เริ่มกันตั้งแต่ชุดระบบปรับอากาศ (แอร์) ที่ในรุ่น 4 ประตู จะมาพร้อมกับแอร์ออโต้ที่มีจอแสดงผลเป็นจอดิจิตอลเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางชุดควบคุมแอร์ ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับระบบ Voice Control ได้ด้วย ในขณะที่รุ่น 5 ประตู จะเป็นชุดควบคุมแอร์แบบธรรมดาที่มีสวิตช์อยู่ 3 วง ให้เลือกปรับทิศทางลม แรงลม และอุณหภูมิได้เหมือนกับแอร์ออโต้ ในส่วนถัดมาที่มีความแตกต่างก็เป็นในเรื่องของบาะนั่ง ที่ถึงแม้จะเป็นเบาะรูปทรงเดียวกัน ให้ความโอบกระชับได้ดีมากในการใช้งานเหมือนกัน แต่ในรุ่น 4 ประตูจะเป็นเบาะนั่งแบบหนังมาให้ ในขณะที่รุ่น 5 ประตูจะเป็นเบาะผ้าธรรมดา
อีกคำถามที่เกิดสงสัยอยู่นิดก็ตรงที่ทั้งในรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตูนั้น ตรงที่มือจับด้านบนเหนือศีรษะทั้งซ้ายและขวาของผู้โดยสารตอนหลังทำไมถึงไม่ มีมาให้ ในขณะที่ของคนนั่งข้างหน้าก็มีมาให้ปกติ

เครื่องยนต์ ford fiesta

เครื่องยนต์ตัวใหม่ จากตระกูลดูราเทค ตามที่กล่าวไปแล้วในช่วงต้นถึงเครื่องยนต์ที่มารับหน้าที่เป็นหัวใจสำคัญใน การขับเคลื่อนเจ้าฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ นั้น มีอยู่ด้วยกันถึง 2 ตัว คือในแบบ 1.4 ลิตร และ 1.6 ลิตร ซึ่งในวันนี้เราจะมาดูกันที่เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ที่ถูกนำมาประจำการทั้งในเวอร์ชั่น 4 ประตู และ 5 ประตู เครื่องยนต์ตัวนี้ยังคงมาในพื้นฐานของเครื่องยนต์เบนซินบล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ที่มีพิกัดความจุอยู่ที่ 1,596 ซี.ซี. ใช้เทคโนโลยี Ti-VCT (Twin independent – Variable Camshaft Timing) ในการควบคุมจังหวะการทำงานของเพลาลูกเบี้ยวให้สามารถแปรฝันได้อย่างอิสระ ทั้งฝั่งไอดีและฝั่งไอเสีย จนเป็นที่มาของแรงม้า 121 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 15.39 กก.-ม. ที่มีมาให้ใช้ในรอบเครื่องยนต์เพียงแค่ 4,050 รอบ/นาทีเท่านั้น ซึ่งเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้จะสามารถใช้งานได้กับน้ำมันเบนซิน 91 ไปจนถึงน้ำมัน E20 เลยทีเดียว

ครั้งแรกกับการใช้เทคโนโลยีคลัตช์คู่กับรถในกลุ่มซิตี้คาร์

ford fiesta กับการใช้งานในเมือง

ระบบเกียร์อัตโนมัติที่ติดตัวมาในรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตรนั้น ดูเหมือนจะเป็นจุดสนใจของคนที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อ ด้วยชื่อเสียงของเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ PowerShift 6 สปีด ของ ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ ที่ให้ความโดดเด่นที่นอกเหนือจากจังหวะของเกียร์ที่มากถึง 6 สปีดแล้ว ระบบคลัตช์ที่ควบคุมจังหวะในการตัดต่อกำลังนั้นจะเป็นแบบคลัตช์คู่แยกการทำ งานจากกันเป็น 2 ชุด โดยชุดหนึ่งจะควบคุมการตัดต่อกำลังของเกียร์ 1, 3 , 5 ในขณะที่คลัตช์อีกชุดจะควบคุมการทำงานของเกียร์ 2, 4, 6 ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้การเปลี่ยนเกียร์ของเกียร์ PowerShift ลูกนี้มีการทำงานที่รวดเร็วจากการทำงานสลับกันของ 2 ชุดคลัตช์ที่ให้ทั้งความนุ่มนวล และความรวดเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ไปพร้อมๆ กัน

ด้านข้าง ford fiesta

บททดสอบแรกกับการใช้งานในเมือง มาถึงช่วงทดสอบกับการใช้งานในเมืองนั้น ด้วยขนาดเครื่องยนต์ที่มากถึง 1.6 ลิตร นับเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การตอบสนองต่อการขับขี่เป็นเรื่องที่คล่องตัว โดยเฉพาะในยามที่ต้องการกำลังแบบปัจจุบันทันด่วนในการเปลี่ยนเลนบนถนนที่มี การจราจรวุ่นวายอย่างบ้านเรา เมื่อรวมกับขนาดของตัวรถที่เล็กกระทัดรัดของ ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ จัดได้ว่าสอบผ่านอย่างสบายๆ กับภาระกิจการใช้งานแบบซิตี้คาร์ โดยเฉพาะในการหาที่จอดในเมืองขนาดของตัวรถนับเป็นส่วนสำคัยที่ช่วยเพิ่มความ สะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่เป็นธรรมดาของโลกไปนี้ที่เมื่อได้อย่างก็มักจะเสียอย่าง ด้วยขนาดของตัวรถที่เล็กกระทัดรัด ก็ส่งผลกลับมาที่ภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะหากผู้ขับและผู้โดยสารมีรูปร่างใหญ่โต งานนี้ก็อาจจะดูว่าพื้นที่ภายในส่วนหน้านั้นมีเหลือที่ว่างค่อนข้างน้อย แต่ในส่วนของห้องโดยสารด้านหลังนั้นยังคงรองรับกับการเดินทางของผู้โดยสาร 2-3 คนได้อย่างสบาย

คอนโซลหน้า ford fiesta

สิ่งหนึ่งที่พบจากการใช้งานว่าทำไมคันเกียร์ของ ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ทั้งในรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตูนั้นสามารถเลื่อนจากตำแหน่งเกียร์ N มาตำแหน่งเกียร์ D ได้โดยไม่ต้องกดปลดล็อคแต่อย่างใด แต่ในทางตรงกันข้ามในเวลาเลื่อนเกียร์จาก D มา N กลับต้องกดปุ่มปลดล็อคที่คันเกียร์ก่อนทุกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดูออกจะขัดแย้งกับเหตุและผลในเรื่องความปลอดภัยอยู่ มากในเรื่องนี้
จากขนาดของเครื่องยนต์ที่มีซีซี.มากถึง 1.6 ลิตร ก็ส่งผลกลับมาในเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจากการทดลองใช้งานในเมืองแล้วตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองหลังจากผ่านการขับ ขี่ด้วยระยะทางกว่า 200 กม. ในเมือง ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ มีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ประมาณ 8.2-8.6 กม./ลิตร ที่เมือเทียบกับคู่แข่งในตลาดเซ็กเม้นท์เดียวกันก็อาจจะดูกินมากกว่าอยู่ นิดๆ แต่ก้ต้องไม่ลืมว่าคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องยนต์ที่ มีความจุเพียงแค่ 1.5 ลิตรเท่านั้น

กันชนหน้า ford fiesta

จี๊ดจ๊าดไปกับเส้นทางไฮเวย์ ทันทีที่มุ่งหน้าขึ้นไฮเวย์ เราจะได้สัมผัสกับสมรรถนะ และพละกำลังของเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ที่สามารถทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ PowerShift 6 สปีด ได้อย่างลงตัว ดวยระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ก็สามารถพาเราข้ามผ่านตัวเลข 100 บนมาตรวัดได้อย่างทันอกทันใจ และเพียงกดคันเร่งต่อไปอีกสักพักเข็มความเร็วก็จะมาหยุดอยู่ที่ตัวเลข 200 ได้อย่างไม่ยากเย็น อันเป็นตัวเลขความเร็วสูงสุดที่จัดได้ว่ามากที่สุดในกลุ่มเดียวกัน (โดยส่วนใหญ่รถในเซ็กเม้นท์นี้จะมีระดับความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 180-190 กม./ชม.) อีกทั้งสมรรถนะของระบบช่วงล่างที่ได้รับการเซ็ตมาในสไตล์ยุโรปสามารถแสดง ประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถให้ความมั่นใจได้มากแม้ต้องเดินทางด้วยความเร็วเกิน 140 ซึ่งนับเป็นจุดเด่นที่สำคัญข้อหนึ่งของ ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่เลยทีเดียว
นอกเหนือจากสมรรถนะที่น่าพอใจของเครื่องยนต์และระบบ ส่งกำลังแล้ว ในการเดินทางต่างจังหวัด ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ยังสามารถทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองได้ดีถึงระดับ 14 กม./ลิตรเลยทีเดียว ซึ่งส่วนสำคัญก็คงต้องยกความดีให้กับเจ้าเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ให้อัตราทดที่ต่ำในเกียร์ที่ 6 ส่งผลให้ในยามที่เดินทางไกลเครื่องยนต์ไม่ต้องรับภาระที่หนัก จนทำให้ตัวเลขความประหยัดทำได้ดีผิดกับการใช้งานในเมืองอย่างเห็นได้ชัด

ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจของตลาดรถซิตี้คาร์ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบสมรรถนะในการขับขี่ในสไตล์ยุโรป กับระดับราคาที่เร้าใจเพียงแค่ 699,000 คงไม่ยากเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงานที่จะครอบครองเป็นเจ้าของ

ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก กรังปรีซ์กรุ๊ป

บทความรถยนต์ที่น่าสนใจ