“สัญญาณรถจัดเป็นอุปกรณ์ประเภทป้องกันอุบัติเหตุ สัญญาณคือสิ่งที่บอกให้ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นรู้และเข้าใจว่าคุณตั้งใจและจะทำอะไร หรือกำลังจะทำอะไร เปรียบไปแล้วก็ไม่ต่างจากภาษาคน หากพูดไม่ชัดเจน พูดเองเข้าใจเองคนเดียวก็ย่อมมีปัญหา ทะเลาะกัน หรือฆ่ากันตายก็บ่อย อย่างรถที่ให้สัญญาณเลี้ยวแล้วไม่เลี้ยว ลืมยกเลิกสัญญาณ ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ ไม่ให้สัญญาณ เหล่านี้คือปัญหาที่เกิดกันทุกวัน และเป็นมูลเหตุที่นำไปสู่อุบัติเหตุเสมอ ๆ ไม่ว่าจะไปขับที่ไหน ประเทศอะไร สัญญาณที่ใช้ต้องมีความหมายและเข้าใจตรงกัน เพราะมันคือ “ภาษารถ ภาษาถนน”
ขอให้พึงตระหนักไว้ว่า สัญญาณที่ใช้ต้องเป็นคุณแก่ผู้อื่น คือ ให้ผู้รับสัญญาณมีเวลาคิดและเข้าใจความหมาย มีเวลาเตรียมตัวเตรียมการแก้ไขได้ทัน สัญญาณที่ใช้พร่ำเพรื่อนั้นนอกจากจะไม่เป็นคุณกับใครแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดการแปลหรือเข้าใจผิดแก่ผู้รับสัญญาณอีกด้วย
เทคนิคและวิธีการใช้สัญญาณที่พึงปฏิบัติคือ
1. ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณก่อนจะเลี้ยวหรือเปลี่ยนช่องทางเดินรถ จอดรถหรือหยุดรถ หรือลดความเร็ว ไม่น้อยกว่า 30 เมตร คำว่าไม่น้อยกว่า 30 เมตรนั้นอาจหมายถึง ก่อนถึงจุดปฏิบัติการ 30 หรือ 40 เมตร ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่ต้องไม่ก่อนจนมากเกินไป เพราะผู้อื่นอาจเข้าใจผิดได้เช่นกัน
2. สัญญาณที่ให้ต้องชัดเจนและชัดแจ้ง บางครั้งตรอกซอกซอยที่อยู่ติด ๆ กัน การให้สัญญาณเลี้ยวอาจก่อให้เกิดความสับสนได้ ต้องคิดให้ดี ใช้จังหวะให้เหมาะ ในทางโค้งไม่ต้องให้สัญญาณเพราะอาจทำให้ผู้ที่ขับตามหลังซึ่งไม่คุ้นทางอาจนึกว่ามีทางเลี้ยวได้ และคิดว่าคุณจะเลี้ยว
3. การใช้สัญญาณในวงเวียนเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพึงระวัง โดยเฉพาะวงเวียนใหญ่ ๆ ที่มีทางออกหลาย ๆ ช่อง ไม่ควรให้สัญญาณตั้งแต่ช่องเช้าแล้วไปออกช่องที่ 4 อย่างนี้คนอื่นก็จะสับสน คุณมีสิทธิ์ที่จะให้สัญญาณเมื่อรถของคุณถึงช่องสุดท้าย ก่อนถึงช่องที่จะออกและต้องให้ ให้ถูกข้างด้วนนะครับ
คุณครับ สัญญาณ คือ ภาษารถภาษาถนน เสมือนหนึ่งภาษาคน ต้องชัดเจนและมีการแปลความหมายที่ตรงกัน สัญญาณถูกจัดเป็นประเภทป้องกันอุบัติเหตุ แต่จะใช้ป้องกันได้ต้องใช้ให้เป็น หากใช้ผิดหรือไม่ให้ความสำคัญกับมัน อาจมีผลตรงกันข้าม
