เคล็ดลับซื้อรถมือสอง รวมเทคนิคและวิธีการเลือกซื้อรถมือสอง คลิก!! More

เพิ่มวัดรอบให้กระบะคันเก่ง

            รถนายแบบครั้งนี้เป็นกระบะช่วงยาวใช้งานบรรทุกที่อยากจะมี “มาตรวัดรอบ” เหมือนกับรุ่นอื่น ๆ เขาบ้าง เดิมทีคิดในใจว่าคงไม่ยาก พวกชุดสายไฟต่าง ๆ น่าจะเป็นชุดเดียวกันกับตัวรุ่นที่สูงกว่า จึงขันอาสาลงมือทำให้โดยไม่รู้ว่าปัญหาใหญ่กำลังจะตามมา

เพิ่มวัดรอบรถยนต์
            ขออธิบายเรื่อง “วัดรอบ” กันนิดนะครับ เพราะในเวลานี้เครื่องยนต์ดีเซลในระบบคอมมอนเรลนั้นใช้กล่อง ECU เป็นตัวควบคุม ดังนั้นสัญญาณรอบเครื่องยนต์จึงมาจากกล่อง ต่างจากเครื่องยนต์รุ่นเก่าที่ไม่ได้ใช้กล่องควบคุมปั๊มจะเป็นแบบกลไก การจับสัญญาณวัดรอบจะจับกันที่ตัวปั๊มแทน และต้องมีตัวแปลงสัญญาณวัดรอบให้มาเป็นรอบเครื่องยนต์ดีเซล แต่ถ้าเป็นวัดรอบสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลอยู่แล้วก็ไม่ต้องมีการแปลงสัญญาณอีกครั้ง ดังนั้น รถคันนี้เป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอเรลจึงสามารถใช้วัดรอบทั่ว ๆ ไปเท่าที่หาได้ทั่วไป ไม่ต้องไปหาซื้อวัดรอบเครื่องยนต์ดีเซลโดยตรง เมื่อจัดการซื้อตัววัดรอบมาเป็นที่เรียบร้อยด้วยสนนราคาไม่ถึง 1,000 บาท ตัววัดรอบเป็นแบบหน้าเล็กประมาณ 52 มม. ยี่ห้อ “GReddy X” เปลี่ยนสีได้ 7 สี ซึ่งเป็นแบบไฟฟ้าสามารถเลือกใช้งานกับเครื่อง 3-4-6 สูบได้ เพียงแค่เลื่อนสวิทข์ในด้านหลังเองครับ แหล่งที่เยอะ ๆ ก็จะมีตามเซียงกงต่าง ๆ และคลองถม

            เมื่อมาดูที่ตัวชุดมาตรวัดของรถ ISUZU รุ่นใหม่ของโลก ช่วงยาวคันนี้จะมีแค่ตัววัดความเร็วอันใหญ่ตรงกลางส่วนข้างซ้ายเป็นตัววัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น ข้างขวาเป็นตัววัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิง ขั้นตอนแรกจะเห็นหน้ากากเป็นกรอบพลาสติกครอบอยู่ จัดการถอดออกมาด้วยวิธีดึงออกมาตรง ๆ รถบางคันอาจจะลื่นมือมากหน่อย เพราะลงน้ำยาซะเงา แบบนี้คงต้อหาผ้าชุน้ำมาเช็ดให้หายลื่น เมื่อดึงออกมาจะเห็นจุดที่น็อตยึดชุดมาตรวัดมีด้วยกันอยู่สามตัว ให้ใช้ไขควงแฉกไขออกมาใช้แรงไม่มากก็ไขออกโดยง่าย

            เมื่อน็อตทั้งสามถูกไขออกจนหมด ในคราวนี้เราก็ใช้สองมือประคองชุดมาตรวัดออกมาได้เลย เมื่อมองไปที่ด้านหลังของชุดมาตรวัดนี้จะมีปลั๊กไฟอยู่สองชุดด้วยกัน จะเป็นชุดใหญ่กับชุดเล็ก ซึ่งเราจะมาดูกันที่ปลั๊กไฟสีขาวชุดใหญ่ที่มีสายไฟหลาย ๆ เส้น ในเมื่อไม่ทราบว่าสายไฟเส้นไหนเป็นของตัววัดรอบ เราจึงต้องค้นหากันก่อน ด้วยเทคนิคจากการที่เคยเรียนช่างไฟมาบ้างเล็กน้อย โดยเราคิดว่าชุดสายไฟที่ทำมาสำหรับรถรุ่นนี้คงเหมือนกับรถรุ่นที่มีราคาแพงอ๊อฟชั่นมากกว่าค่ายไหนจะยอมทำชุดสายไฟหลักให้ต่างกันจริงไหมล่ะ โดยหลักการเช็คของเรานั้นในตอนแรกจะใช้มัลติมิเตอร์มาวัดโยจะจิ้มไปตามรูเล็ก ๆ ที่อยู่ในปลั๊ก ส่วนสายอีกข้างเราก็นำไปลงกราวด์ สำคัญมากในการวัดสัญญาณนี้ ต้องติดเครื่องยนต์ด้วยนะครับเพราะถ้าเครื่องยนต์ไม่หมุนก็ไม่มีสัญญาณมา แต่ก็ไม่ได้ผล ไม่มีสัญญาณไฟฟ้าออกมาโชว์บนหน้าปัดมัลติมิเตอร์เลย วิธีแรกไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนแผนใหม่หันมาใช้ตัววัดรอบที่ซื้อมาเช็คแทน โดยตัววัดรอบจะมีสายสัญญาณสีแดง สีส้ม สีขาว ให้ต่อเข้ากับไฟ 12 โวลท์ สายสีดำลงกราวด์ และสายสีเขียวคือสายสัญญาณวัดรอบนั่นเอง แต่ถ้าจะใช้สายสีเขียวไปจิ้มเข้ากับรูเล็ก ๆ บนปลั๊กโดยตรงอาจเป็นอันตรายได้ การป้องกันคือหาค่าความต้านทานมาต่อเพื่อป้องกันการลัดวงจรทำให้ตัววัดรอบเสียได้ ค่าตัวความต้านทานไม่ต้องมากนัก แค่ 100 โอห์มก็พอ

            ได้ตัวช่วยมาแล้วคราวนี้จิ้มลงไปได้เลย ไล่ไปทีละรูแล้วดูที่ตัววัดรอบว่าขึ้นหรือไม่ เมื่อเราจัดการจิ้มไปเพียงไม่เท่าไหร่เข็มตัววัดรอบก็ขยับขึ้น แต่ตอนนี้ดันขึ้นมาซะสูงเลยทั้ง ๆ ที่เครื่องยนต์อยู่ในรอบเดินเบา แสดงว่าไม่ใช่ตัวต้นตอวัดต่อไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเจอเลย ล่อจนหมดทุกช่องแล้ว เมื่อถึงตอนนี้เลยเพิ่งรู้ว่า “งานเข้า” แล้วครับ สายที่เดินมาไม่มีการต่อมาให้ครับ ถ้าเป็นแบบนี้คงต้องเดินสายยาวกันตั้งแต่กล่อง ECU เลย

            เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงต้องออกมาจากภายในห้องโดยสาร เพื่อมาเปิดฝากระโปรงตัวกล่อง ECU สี่เหลี่ยมผืนฟ้าขนาดไม่ใหญ่โตซุกอยู่ในห้องเครื่องด้านซ้ายมือ ตัวปลั๊กสายไฟเต็มไปหมด แค่เห็นก็จะเริ่มงงแล้ว จะเริ่มยังไง จะเช็คยังไงดีหว่า โทรถามเพื่อนฝูงก็ยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน แบบนี้ก็เรียกว่ารถคันนี้เป็นรถคันต้นแบบหรือหนูทดลองเลยนะ

            แม้จะรู้แล้วในตอนนี้ว่าเป็นไปได้ยาก แต่จะล้อมงานกลางคันก็ยังไงอยู่ หนทางสุดท้ายคือโทรไปที่ศูนย์ของรถยี่ห้อนี้ ถามสองศูนย์คำตอบที่ได้รับเหมือนกันทั้งสองศูนย์คือ บุคลากรก็ไม่ทราบเช่นกันว่าในรถรุ่นที่เรานำมาเป็หนูทดลองนั้นไม่มีการเดินสายสัญญาณตัววัดรอบมารอที่ปลั๊กหลังหน้าปัด จากการสอบถามจึงทราบว่าตัวสายสัญญาณวัดรอบมี 1 เส้นคือ สายไฟสีแดง – ดำ ออกมาจากปลั๊ก “J 2” (หรือปลั๊กตัวล่าง) ที่กล่อง ECU เป็นขาหมายเลข 33 ตัวริมนอกสุดแถวที่สาม แต่ในเมื่อไม่มีการเดินสายมาให้จึงต้องใช้วิธีการเดินสายเอง

            ขั้นตอนต่อมาเราจึงต้องมาดึงขั้วปลั๊ก “J 2” (ต้องปลดตัวล็อคสีเทาออกก่อนถึงจะดึงปลั๊กออกมาได้) ออกมาสำรวจว่าขาดที่ 33 มันโล่งจริงไม่มีสายไฟเลยแล้วจัดการนำฝาครอบสายของตัวปลั๊กออกด้วยการกดตัวล็อคด้วยไขควงตัวเล็ก แล้วจัดแจงหาสายไฟขนาดใกล้เคียงสายไฟที่ใช้อยู่กับกล่องจะได้สามารถเสียบสายเข้าไปในช่องหมายเลข 33 ได้ ส่วนปลายสายไฟนั้นให้จัดการปอกให้เห็นสายทองแดงยาวหน่อย แล้วใช้เทคนิคเล็กน้อยที่จะทำให้สายทองแดงเส้นนั้นรัดแน่นกับขาหมายเลข 33

            และเมื่อต่อเรียบร้อยแล้วต้องมีการทดลองก่อนที่จะประกอบฝาครอบสาย เมื่อเสียบปลั๊ก “J 2” เข้าไปที่กล่อง ECU ตามเดิม นำตัววัดรอบมาทดสอบโดยใช้วิธีเดิมคือ สายสีแดง ส้ม ขาว เข้ากับไฟ 12 โวลท์ สายสีดำไปลงกราวด์ และสุดท้ายสายสีเขียวต่อกับจากขา 33 ที่เพิ่งทำมาเสร็จอุ่น ๆ เลย จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ติด เข็มวัดรอบที่ต่อทดลงก็กระดิกขึ้นมาที่ประมาณเกือบ 700 รอบ แบบนี้ใช้ได้เลย แล้วจึงค่อยเหยียบคันเร่งเพื่อดูว่ารอบขึ้นตามเท้าเราเหยียบหรือไม่ ตัววัดรอบทำหน้าที่ได้อย่างดีเข็มวัดรอบขึ้นตามเท้าเหยียบคันเร่งถือว่าสำเร็จ

            สุดท้ายคือการเดินสายไฟจากขา 33 เข้าสู่ด้านในห้องโดยสาร และต่อสายให้เรียบร้อยโดยตัววัดรอบของ “GReddy X” มีสายทั้งหมด 5 เส้น โดยสายสีส้มต่อเข้ากับไฟ 12 โวลท์โดยตรง สายสีแดงต่อเข้ากับสวิทช์กุญแจ สายสีขาวต่อเข้ากับไฟหรี่ สายสีดำลงกราวด์ตรมธรรมเนียม ส่วนสายสีเขียวคือสายที่ไปต่อกับสัญญาณวัดรอบครับ เสร็จแล้วก็อย่าลืมพันเทปสายไฟให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันการลัดวงจรด้วย ส่วนการหาที่ติดตั้งตัววัดรอบก็อยู่ที่ความพอใจของคุณ     

บทความรถยนต์ที่เกี่ยวข้อง

บทความรถยนต์ที่น่าสนใจ