เคล็ดลับซื้อรถมือสอง รวมเทคนิคและวิธีการเลือกซื้อรถมือสอง คลิก!! More
  • รวมเทคนิคการดูแลรักษารถยนต์

    รวมเทคนิคและวิธีการดูแลรักษารถยนต์ การซ่อมบำรุงและการตกแต่งรถยนต์

  • รวมเรื่องรถ Supercar

  • จักรยาน

  • Big Bike

  • บทความใหม่


    สุดยอดกระบะสายพันธุ์อเมริกันแท้ เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี

    เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี
    สืบทอดความแข็งแกร่งของกระบะสายพันธุ์อเมริกันแท้ โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ดุดัน ที่เป็นมากกว่ารถกระบะธรรมดา...แข็งแกร่งและหรูหรา ครบครันด้วยเทคโนโลยีเต็มขั้นที่พร้อมลุยไปกับคุณ

    สัมผัสประสบการณ์รถกระบะใหม่ สุดยอดขุมพลังและสมรรถนะสุดแกร่งที่มาพร้อมความหรูหราสไตล์รถซีดาน ด้วยห้องโดยสารที่เพียบพร้อม ด้วยความสะดวกสบายเต็มพิกัด พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยที่เหนือกว่า โดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ตดุดันและ
    สัญลักษณ์ไฮคันทรี กระบะ 4 ประตู 
    สไตล์อเมริกันแท้...พาคุณทะยานสู่ทุกเป้าหมายอย่างมั่นใจ


    ไฟหน้าแบบโปรเจ็คเตอร์
    พร้อมกรอบโครเมียมรมดำแบบสปอร์ตดูโฉบเฉี่ยว ปรับระดับทิศทางของแสง ด้วยสวิตช์ปรับระดับสูง-ต่ำ เพิ่มวิสัยทัศน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
    กระจังหน้าแบบ Dual Port-Grille
    สีเทาเข้มดีไซน์สปอร์ตพร้อมกรอบโครเมียม เอกลักษณ์เฉพาะเชฟโรเลต พร้อมสัญลักษณ์โบว์ไทด์ และไฟตัดหมอกหน้า ช่วยเพิ่มความปลอดภัยแม้ในสภาพอากาศวิกฤต 
    ล้ออัลลอย 18 นิ้วแบบ Two – Tone ใหม่
    โดดเด่นด้วยการผสมผสานด้วยโทนสีเทาดำเข้มพร้อมขอบล้อแบบปัดเงา เพิ่มความหรูหรา
    สปอร์ตบาร์สีเดียวกับตัวรถ พร้อมตราสัญลักษณ์ ไฮคันทรี
    เพิ่มความบึกบึนดูน่าเกรงขามดูสะดุดตาในทุกมุมมอง 

    พร้อมทุกเส้นทาง ลงตัวทุกการใช้งาน ด้วยสัมผัสหรูหรา พร้อมกับสมรรถนะแข็งแกร่งเต็มขั้น
    ลุยอย่างมีระดับไปกับเบาะหนังแท้สีน้ำตาลใหม่ (Brown Stone) ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า (เฉพาะเบาะนั่งด้านคนขับ) ปรับตำแหน่งได้อย่างนุ่มนวล ให้คุณเลือกระดับการนั่งได้อย่างใจ ทั้งหรูหรา และโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยคอนโซลดำเงา (Piano Black) และยังมีระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร และความบันเทิง (MyLink) ที่ช่วยให้ทุกการเดินทาง เต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน และสะดวกสบาย เชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ ในทุกเส้นทางเพลิดเพลินกับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนทุกรุ่นอย่างง่ายดาย ใช้งานได้ราบรื่นทั้งการสื่อสารและความบันเทิง สะดวกเพียงปลายนิ้วสัมผัสผ่านหน้าจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว หรือสั่งงานผ่านปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย


    พวงมาลัย Multi-Function
    สั่งการได้ง่ายดายโดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย ด้วยปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ปุ่มควบคุมการรับและวางสายโทรศัพท์ และปุ่มควบคุมระบบครุยส์คอนโทรล
    เบาะหนังสีน้ำตาล ใหม่ (Brown Stone)
    โดดเด่น มีระดับไม่เหมือนใคร ให้ห้องโดยสารสไตล์สปอร์ต หรูหรายิ่งขึ้น
    ระบบปรับที่นั่งไฟฟ้า
    ปรับตำแหน่งการนั่งขับขี่ได้อย่างใจ เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ขับขี่แม้ต้องเดินทางไกล 
    ระบบเนวิเกชั่น
    ค้นหาทุกจุดหมายได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ใช้งานง่ายด้วยระบบหน้าจอสัมผัส
    กล้องมองหลัง
    ปลอดภัยด้วยกล้องมองหลังพร้อมเส้นช่วยกะระยะ (Dynamic Guideline) ช่วยให้ถอยหลังเข้าจอดได้อย่างง่ายดาย

    ระบบเชื่อมต่อการสื่อสารและความบันเทิง/MyLink

    • เชื่อมต่อทุกจังหวะชีวิต ทั้ง AM, FM, AUX, USB และ Bluetooth
    • เชื่อมต่อทุกความบันเทิง เลือกดูหนังผ่าน USB หรือ AUX หรือเลือกดูภาพใน Gallery ได้แบบสไลด์โชว์ พร้อมระบบตัดสัญญาณภาพอัตโนมัติ เมื่อมีสายเรียกเข้า
    • เชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายด้วย Bluetooth ค้นหาหมายเลขจาก Phonebook และใช้งานโทรศัพท์ได้อย่างง่ายดาย
    • เชื่อมต่อไร้ขีดจำกัด เลือกฟังสถานีวิทยุออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เพื่อฟังเพลงและอัพเดทข่าวสารจากทั่วโลก
    • ตั้งค่ารถยนต์ได้ตามต้องการ เช่นระบบเสียงเตือน ระบบส่องสว่าง และระบบ Auto Door Lock เป็นต้น

    เครื่องยนต์ดูราแมกซ์ 2.8 Duramax Diesel ความจุ 2.8 ลิตร คอมมอนเรล 4 สูบ 16 วาล์ว 200 แรงม้า พร้อมเทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูลเลอร์ เหนือกว่าด้วยเซอร์โวมอเตอร์ที่ควบคุมโดยสมองกลอัจฉริยะ (Engine Control Module) ช่วยเพิ่มแรงบิดในรอบต่ำได้สูงสุดถึง 500 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที เรียกกำลังได้อย่างใจ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบโอเวอร์ไดรฟ์ 2 อัตราทด และระบบ Active Select ให้คุณควบคุมทุกเกียร์ได้อย่างแม่นยำ และยังประหยัด ยิ่งขึ้นด้วยระบบหัวฉีดไดเร็คอินเจคชัน ให้คุณพร้อมลุยไปในทุกเส้นทางได้มากขึ้น

    ระบบ Active Safety
    ห้องโดยสารนิรภัยแบบรถระดับพรีเมียม ปกป้องทุกคนในรถด้วยโครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งตามมาตรฐานรถยนต์อเมริกัน ป้องกันการบิดตัวของตัวถังได้แบบไร้กังวล พร้อมเสริมความแข็งแรง ด้วยคานนิรภัยที่แผงประตู ช่วยดูดซับแรงกระแทกจากการชนด้านข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ระบบ Passive Safety
    ถุงลมนิรภัยคู่ SRS คู่หน้าและเข็มมขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ (Pretensioner & Load Limit) ลดความรุนแรงจากการชนด้านหน้าด้วย
    พวงมาลัยนิรภัยที่ยุบตัวอัตโนมัติ
    กระจกบังลมหน้านิรภัย 2 ชั้น ช่วยยึดเกาะเศษกระจกไม่ให้แตกเป็นเศษคม

    ระบบช่วงล่าง (Suspension)
    มั่นคง เกาะถนนดีเยี่ยม มั่นใจทุกการขับขี่ ด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแบบปีกนกสองชั้น และช่วงล่างด้านหลังแบบลิฟสปริงแป้นรูปครึ่งวงรี ทำจากวัสดุเหล็กกล้าพร้อมโช้กอัพแก๊สให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ และเกาะถนนเป็นเยี่ยมไว้ใจได้ทุกย่านความเร็ว ทั้งทางตรงและทางโค้งทั้งขณะบรรทุกและรถเปล่า ตอบสนองทุกการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน HDC (Hill Descent Control)
    เพิ่มความปลอดภัยขณะขับรถลงทางลาดชัน โดยสั่งการเครื่องยนต์ให้ทำงานสัมพันธ์กับเบรกโดยอัตโนมัติ เพื่อรักษาระดับความเร็วให้คุณขับลงทางลาดชันได้อย่างมั่นใจ

    ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน HSA (Hill Start Assist)
    ออกตัวบนทางลาดชันอย่างมั่นใจ ด้วยระบบช่วยหยุดรถไม่ให้ไหลลงจากทางลาดชัน เพื่อให้คุณปล่อยเท้าจากเบรกมาแตะคันเร่งได้โดยไม่เสียการควบคุม

    ระบบเบรก (Braking System)
    ที่สุดแห่งความปลอดภัย อีกขั้นของเทคโนโลยีระบบเบรกที่มั่นใจได้ ด้วยระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อก ช่วยควบคุมการทรงตัว เเม้เบรกกระทันหันบนทุกสภาพถนน

    • ABS (Anti-Lock Braking System)
    • ระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อค
    • EBD (Electronic Brake Force Distribution)ระบบกระจายแรงเบรก
    • TCS (Traction Control System)
    • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีทั้งขณะออกตัวและในโค้ง
    • ESC (Electronic Stability Control)
    • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
    • PBA (Panic Brake Assist)
    • ระบบรองรับการเบรกกระทันหัน
    • CBC (Cornering Brake Control)
    • ระบบสร้างสมดุลขณะเบรกในโค้ง
    • HBA (Hydraulic Brake Assist)
    • ระบบช่วยเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก
    • HBFA (Hydraulic Brake Fade Assist)
    • ระบบชดเชยแรงดันน้ำมันเบรก
    ที่มา เชฟโรเลต

    CHEROLET

    สุดยอดกระบะสายพันธุ์อเมริกันแท้ เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี ดุดัน แข็งแกร่งกว่าที่เคย

    rutchapong  |  at   23:39


    สุดยอดกระบะสายพันธุ์อเมริกันแท้ เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี

    เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี
    สืบทอดความแข็งแกร่งของกระบะสายพันธุ์อเมริกันแท้ โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ดุดัน ที่เป็นมากกว่ารถกระบะธรรมดา...แข็งแกร่งและหรูหรา ครบครันด้วยเทคโนโลยีเต็มขั้นที่พร้อมลุยไปกับคุณ

    สัมผัสประสบการณ์รถกระบะใหม่ สุดยอดขุมพลังและสมรรถนะสุดแกร่งที่มาพร้อมความหรูหราสไตล์รถซีดาน ด้วยห้องโดยสารที่เพียบพร้อม ด้วยความสะดวกสบายเต็มพิกัด พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยที่เหนือกว่า โดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ตดุดันและ
    สัญลักษณ์ไฮคันทรี กระบะ 4 ประตู 
    สไตล์อเมริกันแท้...พาคุณทะยานสู่ทุกเป้าหมายอย่างมั่นใจ


    ไฟหน้าแบบโปรเจ็คเตอร์
    พร้อมกรอบโครเมียมรมดำแบบสปอร์ตดูโฉบเฉี่ยว ปรับระดับทิศทางของแสง ด้วยสวิตช์ปรับระดับสูง-ต่ำ เพิ่มวิสัยทัศน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
    กระจังหน้าแบบ Dual Port-Grille
    สีเทาเข้มดีไซน์สปอร์ตพร้อมกรอบโครเมียม เอกลักษณ์เฉพาะเชฟโรเลต พร้อมสัญลักษณ์โบว์ไทด์ และไฟตัดหมอกหน้า ช่วยเพิ่มความปลอดภัยแม้ในสภาพอากาศวิกฤต 
    ล้ออัลลอย 18 นิ้วแบบ Two – Tone ใหม่
    โดดเด่นด้วยการผสมผสานด้วยโทนสีเทาดำเข้มพร้อมขอบล้อแบบปัดเงา เพิ่มความหรูหรา
    สปอร์ตบาร์สีเดียวกับตัวรถ พร้อมตราสัญลักษณ์ ไฮคันทรี
    เพิ่มความบึกบึนดูน่าเกรงขามดูสะดุดตาในทุกมุมมอง 

    พร้อมทุกเส้นทาง ลงตัวทุกการใช้งาน ด้วยสัมผัสหรูหรา พร้อมกับสมรรถนะแข็งแกร่งเต็มขั้น
    ลุยอย่างมีระดับไปกับเบาะหนังแท้สีน้ำตาลใหม่ (Brown Stone) ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า (เฉพาะเบาะนั่งด้านคนขับ) ปรับตำแหน่งได้อย่างนุ่มนวล ให้คุณเลือกระดับการนั่งได้อย่างใจ ทั้งหรูหรา และโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยคอนโซลดำเงา (Piano Black) และยังมีระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร และความบันเทิง (MyLink) ที่ช่วยให้ทุกการเดินทาง เต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน และสะดวกสบาย เชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ ในทุกเส้นทางเพลิดเพลินกับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนทุกรุ่นอย่างง่ายดาย ใช้งานได้ราบรื่นทั้งการสื่อสารและความบันเทิง สะดวกเพียงปลายนิ้วสัมผัสผ่านหน้าจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว หรือสั่งงานผ่านปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย


    พวงมาลัย Multi-Function
    สั่งการได้ง่ายดายโดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย ด้วยปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ปุ่มควบคุมการรับและวางสายโทรศัพท์ และปุ่มควบคุมระบบครุยส์คอนโทรล
    เบาะหนังสีน้ำตาล ใหม่ (Brown Stone)
    โดดเด่น มีระดับไม่เหมือนใคร ให้ห้องโดยสารสไตล์สปอร์ต หรูหรายิ่งขึ้น
    ระบบปรับที่นั่งไฟฟ้า
    ปรับตำแหน่งการนั่งขับขี่ได้อย่างใจ เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ขับขี่แม้ต้องเดินทางไกล 
    ระบบเนวิเกชั่น
    ค้นหาทุกจุดหมายได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ใช้งานง่ายด้วยระบบหน้าจอสัมผัส
    กล้องมองหลัง
    ปลอดภัยด้วยกล้องมองหลังพร้อมเส้นช่วยกะระยะ (Dynamic Guideline) ช่วยให้ถอยหลังเข้าจอดได้อย่างง่ายดาย

    ระบบเชื่อมต่อการสื่อสารและความบันเทิง/MyLink

    • เชื่อมต่อทุกจังหวะชีวิต ทั้ง AM, FM, AUX, USB และ Bluetooth
    • เชื่อมต่อทุกความบันเทิง เลือกดูหนังผ่าน USB หรือ AUX หรือเลือกดูภาพใน Gallery ได้แบบสไลด์โชว์ พร้อมระบบตัดสัญญาณภาพอัตโนมัติ เมื่อมีสายเรียกเข้า
    • เชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายด้วย Bluetooth ค้นหาหมายเลขจาก Phonebook และใช้งานโทรศัพท์ได้อย่างง่ายดาย
    • เชื่อมต่อไร้ขีดจำกัด เลือกฟังสถานีวิทยุออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เพื่อฟังเพลงและอัพเดทข่าวสารจากทั่วโลก
    • ตั้งค่ารถยนต์ได้ตามต้องการ เช่นระบบเสียงเตือน ระบบส่องสว่าง และระบบ Auto Door Lock เป็นต้น

    เครื่องยนต์ดูราแมกซ์ 2.8 Duramax Diesel ความจุ 2.8 ลิตร คอมมอนเรล 4 สูบ 16 วาล์ว 200 แรงม้า พร้อมเทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูลเลอร์ เหนือกว่าด้วยเซอร์โวมอเตอร์ที่ควบคุมโดยสมองกลอัจฉริยะ (Engine Control Module) ช่วยเพิ่มแรงบิดในรอบต่ำได้สูงสุดถึง 500 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที เรียกกำลังได้อย่างใจ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบโอเวอร์ไดรฟ์ 2 อัตราทด และระบบ Active Select ให้คุณควบคุมทุกเกียร์ได้อย่างแม่นยำ และยังประหยัด ยิ่งขึ้นด้วยระบบหัวฉีดไดเร็คอินเจคชัน ให้คุณพร้อมลุยไปในทุกเส้นทางได้มากขึ้น

    ระบบ Active Safety
    ห้องโดยสารนิรภัยแบบรถระดับพรีเมียม ปกป้องทุกคนในรถด้วยโครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งตามมาตรฐานรถยนต์อเมริกัน ป้องกันการบิดตัวของตัวถังได้แบบไร้กังวล พร้อมเสริมความแข็งแรง ด้วยคานนิรภัยที่แผงประตู ช่วยดูดซับแรงกระแทกจากการชนด้านข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ระบบ Passive Safety
    ถุงลมนิรภัยคู่ SRS คู่หน้าและเข็มมขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ (Pretensioner & Load Limit) ลดความรุนแรงจากการชนด้านหน้าด้วย
    พวงมาลัยนิรภัยที่ยุบตัวอัตโนมัติ
    กระจกบังลมหน้านิรภัย 2 ชั้น ช่วยยึดเกาะเศษกระจกไม่ให้แตกเป็นเศษคม

    ระบบช่วงล่าง (Suspension)
    มั่นคง เกาะถนนดีเยี่ยม มั่นใจทุกการขับขี่ ด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแบบปีกนกสองชั้น และช่วงล่างด้านหลังแบบลิฟสปริงแป้นรูปครึ่งวงรี ทำจากวัสดุเหล็กกล้าพร้อมโช้กอัพแก๊สให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ และเกาะถนนเป็นเยี่ยมไว้ใจได้ทุกย่านความเร็ว ทั้งทางตรงและทางโค้งทั้งขณะบรรทุกและรถเปล่า ตอบสนองทุกการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน HDC (Hill Descent Control)
    เพิ่มความปลอดภัยขณะขับรถลงทางลาดชัน โดยสั่งการเครื่องยนต์ให้ทำงานสัมพันธ์กับเบรกโดยอัตโนมัติ เพื่อรักษาระดับความเร็วให้คุณขับลงทางลาดชันได้อย่างมั่นใจ

    ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน HSA (Hill Start Assist)
    ออกตัวบนทางลาดชันอย่างมั่นใจ ด้วยระบบช่วยหยุดรถไม่ให้ไหลลงจากทางลาดชัน เพื่อให้คุณปล่อยเท้าจากเบรกมาแตะคันเร่งได้โดยไม่เสียการควบคุม

    ระบบเบรก (Braking System)
    ที่สุดแห่งความปลอดภัย อีกขั้นของเทคโนโลยีระบบเบรกที่มั่นใจได้ ด้วยระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อก ช่วยควบคุมการทรงตัว เเม้เบรกกระทันหันบนทุกสภาพถนน

    • ABS (Anti-Lock Braking System)
    • ระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อค
    • EBD (Electronic Brake Force Distribution)ระบบกระจายแรงเบรก
    • TCS (Traction Control System)
    • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีทั้งขณะออกตัวและในโค้ง
    • ESC (Electronic Stability Control)
    • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
    • PBA (Panic Brake Assist)
    • ระบบรองรับการเบรกกระทันหัน
    • CBC (Cornering Brake Control)
    • ระบบสร้างสมดุลขณะเบรกในโค้ง
    • HBA (Hydraulic Brake Assist)
    • ระบบช่วยเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก
    • HBFA (Hydraulic Brake Fade Assist)
    • ระบบชดเชยแรงดันน้ำมันเบรก
    ที่มา เชฟโรเลต



    ปตท. เปิดสถานีการบริการเอ็นจีวีแห่งที่ 500 พร้อมเปิดตัวแอพฯ เช็คปริมาณก๊าซเอ็นจีวีบนสมาร์ทโฟน

    เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการแก่ผู้ใช้รถเอ็นจีวี พร้อมนำเสนอนวัตกรรมใหม่เพิ่มความสะดวกในตรวจสอบข้อมูลปริมาณก๊าซฯ ได้ด้วยตัวเองก่อนเข้ารับบริการ

    นายสุรงค์  บูลกุล  ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานีบริการเอ็นจีวี ปตท. เอกสุขสวัสดิ์ แห่งใหม่นี้ตั้งอยู่บนถนนสุขสวัสดิ์ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยเป็นสถานีบริการเอ็นจีวีประเภทแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ด้วยกำลังการผลิตก๊าซเอ็นจีวี 25 ตันต่อวัน รองรับความต้องการใช้ก๊าซฯ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียงซึ่งจะตอบสนองความต้องการใช้ก๊าซได้ดียิ่งขึ้น 

    เนื่องด้วยสามารถให้บริการเติมก๊าซได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถขนส่งก๊าซฯ ให้กับสถานีนอกแนวท่ออีกด้วย และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถขยายจำนวนสถานีบริการเอ็นจีวีได้ครบ 501 แห่ง ครอบคลุม 54 จังหวัดทั่วประเทศ ตามแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการผู้ใช้รถเอ็นจีวี ซึ่งขณะนี้ที่มีผู้ใช้เอ็นจีวีประมาณ 470,000 คัน โดยมีปริมาณการใช้ก๊าซเอ็นจีวี 8,280ตันต่อวัน (ข้อมูล ณ สิงหาคม 2558)


    นอกจากการขยายจำนวนสถานีบริการเอ็นจีวีเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เอ็นจีวีแล้ว ปตท. ได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ให้ผู้ใช้รถเอ็นจีวีสามารถตรวจสอบปริมาณก๊าซฯ ในแต่ละสถานีบริการได้ด้วยตนเองผ่าน Application “PTT Life Station” บนมือถือแบบสมาร์ทโฟนทุกระบบ โดยดาวโหลดผ่าน APP STOREหรือ PLAY STORE จากนั้นเลือกสถานีบริการเอ็นจีวีที่ต้องการใช้บริการ จะแสดงตำแหน่งของสถานีฯ ในแผนที่ซึ่งจะมีการแสดงแถบสีระดับปริมาณก๊าซฯ ที่พร้อมให้บริการ เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกรับใช้บริการ
              
    “ปตท. ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ก๊าซเอ็นจีวี ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของนวัตกรรมที่ช่วยให้ผู้ใช้ก๊าซฯ สามารถบริหารจัดการและวางแผนการเติมก๊าซฯ ของตนเองได้ง่าย และสะดวกขึ้นโดย เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการพัฒนาบริการเพื่อผู้บริโภคของ ปตท.” นายสุรงค์ฯ กล่าวเสริมในตอนท้าย

    ข่าวประชาสัมพันธ์
    ปตท. เปิดสถานีการบริการเอ็นจีวีแห่งที่ 500

    ปตท. เปิดสถานีการบริการเอ็นจีวีแห่งที่ 500 พร้อมเปิดตัวแอพฯ เช็คปริมาณก๊าซเอ็นจีวีบนสมาร์ทโฟน

    rutchapong  |  at   23:11



    ปตท. เปิดสถานีการบริการเอ็นจีวีแห่งที่ 500 พร้อมเปิดตัวแอพฯ เช็คปริมาณก๊าซเอ็นจีวีบนสมาร์ทโฟน

    เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการแก่ผู้ใช้รถเอ็นจีวี พร้อมนำเสนอนวัตกรรมใหม่เพิ่มความสะดวกในตรวจสอบข้อมูลปริมาณก๊าซฯ ได้ด้วยตัวเองก่อนเข้ารับบริการ

    นายสุรงค์  บูลกุล  ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานีบริการเอ็นจีวี ปตท. เอกสุขสวัสดิ์ แห่งใหม่นี้ตั้งอยู่บนถนนสุขสวัสดิ์ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยเป็นสถานีบริการเอ็นจีวีประเภทแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ด้วยกำลังการผลิตก๊าซเอ็นจีวี 25 ตันต่อวัน รองรับความต้องการใช้ก๊าซฯ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียงซึ่งจะตอบสนองความต้องการใช้ก๊าซได้ดียิ่งขึ้น 

    เนื่องด้วยสามารถให้บริการเติมก๊าซได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถขนส่งก๊าซฯ ให้กับสถานีนอกแนวท่ออีกด้วย และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถขยายจำนวนสถานีบริการเอ็นจีวีได้ครบ 501 แห่ง ครอบคลุม 54 จังหวัดทั่วประเทศ ตามแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการผู้ใช้รถเอ็นจีวี ซึ่งขณะนี้ที่มีผู้ใช้เอ็นจีวีประมาณ 470,000 คัน โดยมีปริมาณการใช้ก๊าซเอ็นจีวี 8,280ตันต่อวัน (ข้อมูล ณ สิงหาคม 2558)


    นอกจากการขยายจำนวนสถานีบริการเอ็นจีวีเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เอ็นจีวีแล้ว ปตท. ได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ให้ผู้ใช้รถเอ็นจีวีสามารถตรวจสอบปริมาณก๊าซฯ ในแต่ละสถานีบริการได้ด้วยตนเองผ่าน Application “PTT Life Station” บนมือถือแบบสมาร์ทโฟนทุกระบบ โดยดาวโหลดผ่าน APP STOREหรือ PLAY STORE จากนั้นเลือกสถานีบริการเอ็นจีวีที่ต้องการใช้บริการ จะแสดงตำแหน่งของสถานีฯ ในแผนที่ซึ่งจะมีการแสดงแถบสีระดับปริมาณก๊าซฯ ที่พร้อมให้บริการ เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกรับใช้บริการ
              
    “ปตท. ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ก๊าซเอ็นจีวี ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของนวัตกรรมที่ช่วยให้ผู้ใช้ก๊าซฯ สามารถบริหารจัดการและวางแผนการเติมก๊าซฯ ของตนเองได้ง่าย และสะดวกขึ้นโดย เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการพัฒนาบริการเพื่อผู้บริโภคของ ปตท.” นายสุรงค์ฯ กล่าวเสริมในตอนท้าย

    ข่าวประชาสัมพันธ์


    หลายคนเวลาที่ถึงเวลาต้องเสียภาษีรถยนต์ประจำปี ก็จำเป็นต้องไปทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.) ซึ่งกฎหมายได้บังคับไว้ว่าต้องทำ หากไม่ทำก็ไม่สามารถทำการต่อภาษีได้ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ถึงความคุ้มครองกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ว่าเราในฐานะผู้เอาประกันภัยรถยนต์ จะได้รับสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายอะไรบ้าง

    วันนี้ผมขอเอาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.) มาเผยแพร่แก่คุณผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบ และสามารถนำเอาข้อมูลนี้ไปเป็นแนวทางปฏิบัติในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุได้

    การทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (พรบ.)

    การทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.)

    การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า “ประกัน พรบ.” เป็นการประกันภัยรถยนต์ที่กฏหมายบังคับให้รถทุกคัน ทุกประเภท ต้องทำประกันภัย (ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พศ. 2535) เพื่อให้ความคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายและค่าเสียหายเบื้องต้นอย่างทันท่วงที และเป็นหลักประกันแก่สถานพยาบาลทุกแห่งว่าได้รับค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ให้การรักษาแก่ผู้ประสบภัยจากรถแน่นอน

    ประเภทรถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. 

    รถที่ต้องทำประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. ได้แก่รถทุกชนิดทุกประเภทตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วย การขนส่งทางบก กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร ที่เจ้าของมีไว้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ ไม่ว่ารถดังกล่าวจะเดินด้วย กำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อเครื่อง รถยนต์โดยสาร รถบรรทุก หัวรถลากจูง รถพ่วง รถบดถนน รถอีแต๋น ฯลฯ

    ดังนั้น รถบางประเภทที่กรมการขนส่งทางบกไม่รับจดทะเบียน แต่หากเข้าข่ายว่ารถนั้นเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น ให้จัดเป็นรถที่ต้องทำ ประกันภัยตาม พ.ร.บ.

    ผู้มีหน้าที่ต้องทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) 

    1. เจ้าของรถ (ผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถ)
    2. ผู้เช่าซื้อรถ (ผู้ครอบครองรถในฐานะผู้เช่าซื้อรถ)
    3. เจ้าของรถซึ่งนำรถที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาใช้ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว

    บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 

    > เจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อรถผู้ใด ไม่จัดให้มีการประกันภัยตาม พ.ร.บ. นี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000.- บาท

    > ผู้ใดนำรถที่ไม่ได้จัดให้มีการประกันภัยตาม พ.ร.บ. นี้มาใช้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000.- บาท

    > เจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อรถผู้ใด ไม่ติดเครื่องหมายแสดงว่ามีการประกันภัยตาม พ.ร.บ. นี้
    ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000.- บาท

    > ผู้ประสบภัยผู้ใดยื่นคำขอรับชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้น โดยทุจริตหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นตามนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000.- บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    > บริษัทประกันวินาศภัยซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการรับประกันภัยรถบริษัทใดฝ่าฝืนไม่ยอมรับประกันภัยตามนี้ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 50,000.- บาท ถึง 25,000.- บาท

    > เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้ประสบภัยจากรถที่บริษัทได้รับประกันภัยไว้ หากบริษัทใดไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น  ให้แก่ผู้ประสบภัย (หรือทายาท) ให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับการร้องขอจากผู้ประสบภัย ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 10,000.- บาท ถึง 50,000.- บาท

    > ผู้ใดปลอมเครื่องหมาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่ 10,000.- บาท ถึง 100,000.- บาท

    > ผู้ใดติดหรือแสดงเครื่องหมายอันเกิดจากการปลอมเครื่องหมายกับรถคันหนึ่งคันใด ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับการปลอมเครื่องหมาย

    > เจ้าของรถผู้ใดติดเครื่องหมายหรือแสดงเครื่องหมายที่ต้องส่งคืนต่อนายทะเบียน หรือเครื่องหมายที่ใช้ต่อไปไม่ได้แล้วต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000.- บาท

    ผู้ที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. 

    1. ผู้ประสบภัยจากรถ อันได้แก่ประชาชนทุกคนที่ประสบภัยจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร คนเดินเท้าหากได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถ ก็จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. นี้

    2. ทายาทของผู้ประสบภัยข้างต้นกรณีผู้ประสบภัยเสียชีวิต

    ความเสียหายที่ได้รับความคุ้มครอง 

    ค่าเสียหายที่ผู้ประสบภัยหรือทายาทจะได้รับการชดใช้มีดังนี้

    1.ค่าเสียหายเบื้องต้น 
    ผู้ประสบภัยจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิดภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ยื่นคำขอให้มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกับบริษัทประกันภัยโดยมีรายการดังนี้

    กรณีบาดเจ็บโดยไม่ถึงกับสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพ จะได้รับค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามความเสียหายที่แท้จริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท ได้แก่
    - ค่ายา ค่าอาการทางเส้นเลือด ค่าอ๊อกซิเจน และอื่น ๆ ทำนองเดียวกัน
    - ค่าอวัยวะเทียม อุปกรณ์ในการบำบัดรักษา รวมทั้งค่าซ่อมแซม
    - ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ ค่าวิเคราะห์โรค ทั้งนี้ไม่รวมถึงค่าจ้างพยาบาลพิเศษ
    และค่าบริการอื่นทำนองเดียวกัน
    - ค่าห้องและค่าอาหารตลอดเวลาที่เข้ารับการรักษาพยาบาล
    - ค่าพาหนะนำผู้ประสบภัยไปโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล

    1.2 กรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพ จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน 30,000 บาท/คน
    จากกรณีใดกรณีหนึ่งหรือหลายกรณี ดังต่อไปนี้
    - ตาบอด
    - หูหนวก
    - เป็นใบ้ หรือเสียความสามารถในการพูด หรือลิ้นขาด
    - สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์
    - สูญเสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด
    - จิตพิการอย่างติดตัว
    - ทุพพลภาพอย่างถาวร

    1.3 กรณีเสียชีวิต ทายาทโดยชอบธรรมจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเป็นค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพ โดยได้รับชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน 30,000 บาท/คน

    1.4 กรณีเสียชีวิตหลังจากมีการรักษาพยาบาล จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นสำหรับเป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าปลงศพรวมกันแล้วไม่เกิน 30,000 บาท

    ความเสียหายเบื้องต้นทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามพระราชบัญญัติฯ

    2.ค่าเสียหายส่วนที่เกินค่าเสียหายเบื้องต้น 
    ค่าเสียหายส่วนที่เกินกว่าค่าเสียหายเบื้องต้นโดยต้องรอพิสูจน์ความผิดก่อน ผู้ประสบภัยจะได้รับการชดใช้ดังกล่าว เมื่อรวมกับค่าเสียหายเบื้องต้นในข้อ 1 แล้วดังนี้

    • กรณีบาดเจ็บ จ่ายตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท/คน 
    • กรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพ จะได้รับการชดใช้ 100,000 บาท/คน 
    • กรณีเสียชีวิต จะได้รับการชดใช้เป็นค่าปลงศพ 10,000 บาท/คน 
    • กรณีเสียชีวิตหลังจากมีการรักษาพยาบาล จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายรวมกันเป็นเงิน 100,000 บาท/คน (เป็นค่ารักษาพยาบาล+ค่าปลงศพ) 

    ในกรณีที่ผู้ประสบภัยเป็นผู้ขับขี่และเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดต่ออุบัติเหตุ หรือไม่มีผู้ใดต้องรับผิดตามกฎหมายต่อผู้ขับขี่ที่ประสบภัย ผู้ขับขี่จะได้รับการชดใช้เฉพาะค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น

    ค่าเสียหายส่วนที่เกินกว่าที่พระราชบัญญัติฯ กำหนด ผู้ประสบภัยสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้จากผู้กระทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

    วิธีการจัดทำประกันภัย 

    1.ถ่ายสำเนาเอกสารคู่มือการจดทะเบียนรถและบัตรประจำตัวประชาชน

    2.นำเอกสารไปติดต่อบริษัทประกันภัยที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัยรถ รวมถึงสาขาของบริษัททั่วประเทศแจ้งความประสงค์ขอทำประกันภัยรถ

    3.รับกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งจะเป็นใบเสร็จรับเงินด้วย

    4.รับเครื่องหมายแสดงว่ามีการประกันภัย พร้อมตรวจสอบข้อมูลบนเครื่องหมายให้ถูกต้อง เช่น ชื่อบริษัทประกันภัย ชื่อรถ หมายเลขทะเบียนรถ หมายเลขตัวถัง ระยะเวลาสิ้นสุด และนำไปติดไว้ที่กระจกรถด้านใน หรือหากเป็นรถประเภทอื่นที่ ไม่ใช่รถยนต์ต้องติดไว้ในที่ ๆ สามารถเห็นได้ชัดเจน

    เมื่อคุณผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบและเข้าใจถึงการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.) กันไปแล้ว ต่อไปเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือประสบเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องใช้ พรบ. ก็สามารถนำเอาความรู้นี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ครับ

    ไปหน้าแรก  ข่าวสารรถยนต์


    ขอบคุณข้อมูลที่เป็นประโยชน์จาก www.tqm.co.th
    พรบ.

    มาเพิ่มเติมความรู้ กับการประภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.) กันครับ

    rutchapong  |  at   01:50


    หลายคนเวลาที่ถึงเวลาต้องเสียภาษีรถยนต์ประจำปี ก็จำเป็นต้องไปทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.) ซึ่งกฎหมายได้บังคับไว้ว่าต้องทำ หากไม่ทำก็ไม่สามารถทำการต่อภาษีได้ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ถึงความคุ้มครองกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ว่าเราในฐานะผู้เอาประกันภัยรถยนต์ จะได้รับสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายอะไรบ้าง

    วันนี้ผมขอเอาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.) มาเผยแพร่แก่คุณผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบ และสามารถนำเอาข้อมูลนี้ไปเป็นแนวทางปฏิบัติในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุได้

    การทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (พรบ.)

    การทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.)

    การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า “ประกัน พรบ.” เป็นการประกันภัยรถยนต์ที่กฏหมายบังคับให้รถทุกคัน ทุกประเภท ต้องทำประกันภัย (ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พศ. 2535) เพื่อให้ความคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายและค่าเสียหายเบื้องต้นอย่างทันท่วงที และเป็นหลักประกันแก่สถานพยาบาลทุกแห่งว่าได้รับค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ให้การรักษาแก่ผู้ประสบภัยจากรถแน่นอน

    ประเภทรถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. 

    รถที่ต้องทำประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. ได้แก่รถทุกชนิดทุกประเภทตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วย การขนส่งทางบก กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร ที่เจ้าของมีไว้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ ไม่ว่ารถดังกล่าวจะเดินด้วย กำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อเครื่อง รถยนต์โดยสาร รถบรรทุก หัวรถลากจูง รถพ่วง รถบดถนน รถอีแต๋น ฯลฯ

    ดังนั้น รถบางประเภทที่กรมการขนส่งทางบกไม่รับจดทะเบียน แต่หากเข้าข่ายว่ารถนั้นเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น ให้จัดเป็นรถที่ต้องทำ ประกันภัยตาม พ.ร.บ.

    ผู้มีหน้าที่ต้องทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) 

    1. เจ้าของรถ (ผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถ)
    2. ผู้เช่าซื้อรถ (ผู้ครอบครองรถในฐานะผู้เช่าซื้อรถ)
    3. เจ้าของรถซึ่งนำรถที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาใช้ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว

    บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 

    > เจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อรถผู้ใด ไม่จัดให้มีการประกันภัยตาม พ.ร.บ. นี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000.- บาท

    > ผู้ใดนำรถที่ไม่ได้จัดให้มีการประกันภัยตาม พ.ร.บ. นี้มาใช้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000.- บาท

    > เจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อรถผู้ใด ไม่ติดเครื่องหมายแสดงว่ามีการประกันภัยตาม พ.ร.บ. นี้
    ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000.- บาท

    > ผู้ประสบภัยผู้ใดยื่นคำขอรับชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้น โดยทุจริตหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นตามนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000.- บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    > บริษัทประกันวินาศภัยซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการรับประกันภัยรถบริษัทใดฝ่าฝืนไม่ยอมรับประกันภัยตามนี้ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 50,000.- บาท ถึง 25,000.- บาท

    > เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้ประสบภัยจากรถที่บริษัทได้รับประกันภัยไว้ หากบริษัทใดไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น  ให้แก่ผู้ประสบภัย (หรือทายาท) ให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับการร้องขอจากผู้ประสบภัย ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 10,000.- บาท ถึง 50,000.- บาท

    > ผู้ใดปลอมเครื่องหมาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่ 10,000.- บาท ถึง 100,000.- บาท

    > ผู้ใดติดหรือแสดงเครื่องหมายอันเกิดจากการปลอมเครื่องหมายกับรถคันหนึ่งคันใด ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับการปลอมเครื่องหมาย

    > เจ้าของรถผู้ใดติดเครื่องหมายหรือแสดงเครื่องหมายที่ต้องส่งคืนต่อนายทะเบียน หรือเครื่องหมายที่ใช้ต่อไปไม่ได้แล้วต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000.- บาท

    ผู้ที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. 

    1. ผู้ประสบภัยจากรถ อันได้แก่ประชาชนทุกคนที่ประสบภัยจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร คนเดินเท้าหากได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถ ก็จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. นี้

    2. ทายาทของผู้ประสบภัยข้างต้นกรณีผู้ประสบภัยเสียชีวิต

    ความเสียหายที่ได้รับความคุ้มครอง 

    ค่าเสียหายที่ผู้ประสบภัยหรือทายาทจะได้รับการชดใช้มีดังนี้

    1.ค่าเสียหายเบื้องต้น 
    ผู้ประสบภัยจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิดภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ยื่นคำขอให้มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกับบริษัทประกันภัยโดยมีรายการดังนี้

    กรณีบาดเจ็บโดยไม่ถึงกับสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพ จะได้รับค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามความเสียหายที่แท้จริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท ได้แก่
    - ค่ายา ค่าอาการทางเส้นเลือด ค่าอ๊อกซิเจน และอื่น ๆ ทำนองเดียวกัน
    - ค่าอวัยวะเทียม อุปกรณ์ในการบำบัดรักษา รวมทั้งค่าซ่อมแซม
    - ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ ค่าวิเคราะห์โรค ทั้งนี้ไม่รวมถึงค่าจ้างพยาบาลพิเศษ
    และค่าบริการอื่นทำนองเดียวกัน
    - ค่าห้องและค่าอาหารตลอดเวลาที่เข้ารับการรักษาพยาบาล
    - ค่าพาหนะนำผู้ประสบภัยไปโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล

    1.2 กรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพ จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน 30,000 บาท/คน
    จากกรณีใดกรณีหนึ่งหรือหลายกรณี ดังต่อไปนี้
    - ตาบอด
    - หูหนวก
    - เป็นใบ้ หรือเสียความสามารถในการพูด หรือลิ้นขาด
    - สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์
    - สูญเสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด
    - จิตพิการอย่างติดตัว
    - ทุพพลภาพอย่างถาวร

    1.3 กรณีเสียชีวิต ทายาทโดยชอบธรรมจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเป็นค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพ โดยได้รับชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน 30,000 บาท/คน

    1.4 กรณีเสียชีวิตหลังจากมีการรักษาพยาบาล จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นสำหรับเป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าปลงศพรวมกันแล้วไม่เกิน 30,000 บาท

    ความเสียหายเบื้องต้นทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามพระราชบัญญัติฯ

    2.ค่าเสียหายส่วนที่เกินค่าเสียหายเบื้องต้น 
    ค่าเสียหายส่วนที่เกินกว่าค่าเสียหายเบื้องต้นโดยต้องรอพิสูจน์ความผิดก่อน ผู้ประสบภัยจะได้รับการชดใช้ดังกล่าว เมื่อรวมกับค่าเสียหายเบื้องต้นในข้อ 1 แล้วดังนี้

    • กรณีบาดเจ็บ จ่ายตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท/คน 
    • กรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพ จะได้รับการชดใช้ 100,000 บาท/คน 
    • กรณีเสียชีวิต จะได้รับการชดใช้เป็นค่าปลงศพ 10,000 บาท/คน 
    • กรณีเสียชีวิตหลังจากมีการรักษาพยาบาล จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายรวมกันเป็นเงิน 100,000 บาท/คน (เป็นค่ารักษาพยาบาล+ค่าปลงศพ) 

    ในกรณีที่ผู้ประสบภัยเป็นผู้ขับขี่และเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดต่ออุบัติเหตุ หรือไม่มีผู้ใดต้องรับผิดตามกฎหมายต่อผู้ขับขี่ที่ประสบภัย ผู้ขับขี่จะได้รับการชดใช้เฉพาะค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น

    ค่าเสียหายส่วนที่เกินกว่าที่พระราชบัญญัติฯ กำหนด ผู้ประสบภัยสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้จากผู้กระทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

    วิธีการจัดทำประกันภัย 

    1.ถ่ายสำเนาเอกสารคู่มือการจดทะเบียนรถและบัตรประจำตัวประชาชน

    2.นำเอกสารไปติดต่อบริษัทประกันภัยที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัยรถ รวมถึงสาขาของบริษัททั่วประเทศแจ้งความประสงค์ขอทำประกันภัยรถ

    3.รับกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งจะเป็นใบเสร็จรับเงินด้วย

    4.รับเครื่องหมายแสดงว่ามีการประกันภัย พร้อมตรวจสอบข้อมูลบนเครื่องหมายให้ถูกต้อง เช่น ชื่อบริษัทประกันภัย ชื่อรถ หมายเลขทะเบียนรถ หมายเลขตัวถัง ระยะเวลาสิ้นสุด และนำไปติดไว้ที่กระจกรถด้านใน หรือหากเป็นรถประเภทอื่นที่ ไม่ใช่รถยนต์ต้องติดไว้ในที่ ๆ สามารถเห็นได้ชัดเจน

    เมื่อคุณผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบและเข้าใจถึงการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.) กันไปแล้ว ต่อไปเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือประสบเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องใช้ พรบ. ก็สามารถนำเอาความรู้นี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ครับ

    ไปหน้าแรก  ข่าวสารรถยนต์


    ขอบคุณข้อมูลที่เป็นประโยชน์จาก www.tqm.co.th

    ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัสคืออะไร

    มาทำความรู้จักกับประกันภัยรถยนต์ 3 พลัสกันดีกว่าครับ สำหรับท่านใดที่ยังสับสนงุนงง กับการทำประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส วันนี้เรามีคำตอบให้ครับ

    ไขข้อข้องใจกับประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส 

         ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 3 แบบปกติ แต่มีความคุ้มครองเพิ่มเติมในส่วนของสัญญาประกันภัยเบ็ดเตล็ด แยกต่างหากออกจากสัญญาหลักที่ให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อความเสียหาย ทรัพย์สินและชีวิต ร่างกายของบุคคลภายนอก โดยให้ความคุ้มครองในความเสียหายต่อตัวรถคันเอาประกันภัยในวงเงินจำนวนหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขความรับผิดชอบความเสียหายต่อทรัพย์สิน(รถยนต์คันทำประกันภัย) เมื่อ

         1. เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถผู้เอาประกันชนกับยานพาหนะทางบก

         2. ในกรณีผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิดต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท/ครั้ง ดังนั้น จากเงื่อนไขดังกล่าว ดูเหมือนว่า ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส นั้น จะมีความคุ้มครองเหมือนกับการประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 แต่หากวิเคราะห์จริงๆ แล้ว มีความเหมือนที่แตกต่างในสาระสำคัญดังนี้

              2.1. ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส ให้ความคุ้มครองทรัพย์สิน ชีวิต ร่างกายและอนามัยของบุคคลภายนอกเหมือนกับประเภท 3 ธรรมดา แต่คุ้มครองรถยนต์คันเอาประกันภัยในวงเงินจำกัดแต่มีวงเงินน้อยกว่าประเภท 1 คืออยู่ระหว่าง 100,000 – 150,000 บาท แต่มีเงื่อนไข(ตัวอักษรเล็กๆ)ว่า “รับผิดชอบต่อเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถผู้เอาประกันชนกับยานพาหนะทางบก” เท่านั้น ดังนั้นหากรถยนต์คันเอาประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส ไปชนกำแพง ชนรั้ว ชนสุนัข ชนเสา ชนประตู ชนคน ฯลฯ ที่มิใช่ยานพาหนะทางบก รวมถึงกระจกหน้าถูกก้อนหินแตกร้าว จะไม่ได้รับความคุ้มครองตัวรถทั้งสิ้น ทั้งนี้การคว่ำ การสูญหาย การถูกไฟไหม้ ล้วนเป็นข้อยกเว้นที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง

              2.2. นอกจากนี้ ในการชนยานพาหนะทางบกนั้น ผู้เอาประกัน(หมายความรวมถึงผู้ขับขี่ที่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกัน ภัยให้ใช้รถด้วยด้วย)เป็นฝ่ายผิดแล้ว ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท/ครั้ง ด้วย ซึ่งหมายความว่าเบี้ยประกันภัยที่แท้จริงมิใช่ราคาที่เรียกเก็บ แต่เป็นราคาที่เรียกเก็บหักเงื่อนไขค่าเสียหายส่วนแรกจำนวน 2000 บาทไว้แล้ว ดังนั้นเบี้ยประกันที่แท้จริงจึงอยู่ที่ประมาณ 6,800 + 2,000 บาท รวมเป็น 8,800 บาท ใกล้เคียงกับเบี้ยประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ที่บางคันมีเบี้ยประกันภัย 12,000 – 15,000 บาท แล้วมี ค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท ก็จะคงเหลือ 10,000 – 13,000 บาท แต่ได้รับความคุ้มครองสูงกว่า

    สรุป - ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส เหมาะสำหรับ

         1. ผู้ที่มีความสามารถในการจ่ายเงินจำนวนน้อยเพื่อการประกันภัยรถยนต์ แต่ต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติมจากเดิม ใช้รถน้อย และมีความเสี่ยงในการเกิดการชนกับยานพาหนะทางบกเช่นรถยนต์หรือจักรยานยนต์ และไม่น่าจะสูญหายหรือไฟไหม้

         2. รถยนต์ที่มีอายุเกิน 10 ปี และบริษัทประกันภัยมักไม่รับประกันภัยให้ แต่ต้องการความคุ้มครองเพื่อการเยียวยาความเสียหายอันอาจมีขึ้น

    หมายเหตุ

         1. บริษัทประกันภัยบางแห่งมีเงื่อนไขไม่เรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท แต่เก็บเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมบางส่วน เช่นเพิ่มเติมจาก 6,800 บาท เป็น 7,800 บาท เป็นต้น ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่าจะเกิดเหตุการชนที่ตนเป็นฝ่ายผิดบ่อยๆ

         2. ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส เป็นเหมือนประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 ทุกประการ แต่มีการทำประกันภัยเพิ่มเติมในความเสียหายตัวรถ อันเป็นการประกันภัยเบ็ดเตล็ดชนิดหนึ่ง และยังไม่ถือว่าเป็นแบบประกันภัยมาตรฐาน

         3. ขณะนี้ มีการประกาศใช้แบบประกันภัยรถยนต์ มาตรฐาน ประเภทที่ 5(เดิมมี 4 ประเภท)โดยกรมการประกันภัย ซึ่งแบบกรมธรรม์มาตรฐานดังกล่าว สามารถใช้กับประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 พิเศษ และ ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 พิเศษ(มีความคุ้มครองรวมถึงการสูญหาย+ไฟไหม้ ของรถยนต์คันเอาประกันภัย แต่ภายในวงเงินจำกัดเช่นกัน) ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้สามารถเลือกได้ตรงความต้องการและความจำเป็นของแต่ละบุคคล

    ไปหน้าแรก  การดูแลรักษารถยนต์




    ขอบคุณบทความจาก http://prakan3plus.blogspot.com/2012/04/what-is-car-insurance-3-plus.html
    ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส

    มาทำความรู้จักกับประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ 3 พลัส กันครับ

    rutchapong  |  at   23:03

    ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัสคืออะไร

    มาทำความรู้จักกับประกันภัยรถยนต์ 3 พลัสกันดีกว่าครับ สำหรับท่านใดที่ยังสับสนงุนงง กับการทำประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส วันนี้เรามีคำตอบให้ครับ

    ไขข้อข้องใจกับประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส 

         ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 3 แบบปกติ แต่มีความคุ้มครองเพิ่มเติมในส่วนของสัญญาประกันภัยเบ็ดเตล็ด แยกต่างหากออกจากสัญญาหลักที่ให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อความเสียหาย ทรัพย์สินและชีวิต ร่างกายของบุคคลภายนอก โดยให้ความคุ้มครองในความเสียหายต่อตัวรถคันเอาประกันภัยในวงเงินจำนวนหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขความรับผิดชอบความเสียหายต่อทรัพย์สิน(รถยนต์คันทำประกันภัย) เมื่อ

         1. เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถผู้เอาประกันชนกับยานพาหนะทางบก

         2. ในกรณีผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิดต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท/ครั้ง ดังนั้น จากเงื่อนไขดังกล่าว ดูเหมือนว่า ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส นั้น จะมีความคุ้มครองเหมือนกับการประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 แต่หากวิเคราะห์จริงๆ แล้ว มีความเหมือนที่แตกต่างในสาระสำคัญดังนี้

              2.1. ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส ให้ความคุ้มครองทรัพย์สิน ชีวิต ร่างกายและอนามัยของบุคคลภายนอกเหมือนกับประเภท 3 ธรรมดา แต่คุ้มครองรถยนต์คันเอาประกันภัยในวงเงินจำกัดแต่มีวงเงินน้อยกว่าประเภท 1 คืออยู่ระหว่าง 100,000 – 150,000 บาท แต่มีเงื่อนไข(ตัวอักษรเล็กๆ)ว่า “รับผิดชอบต่อเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถผู้เอาประกันชนกับยานพาหนะทางบก” เท่านั้น ดังนั้นหากรถยนต์คันเอาประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส ไปชนกำแพง ชนรั้ว ชนสุนัข ชนเสา ชนประตู ชนคน ฯลฯ ที่มิใช่ยานพาหนะทางบก รวมถึงกระจกหน้าถูกก้อนหินแตกร้าว จะไม่ได้รับความคุ้มครองตัวรถทั้งสิ้น ทั้งนี้การคว่ำ การสูญหาย การถูกไฟไหม้ ล้วนเป็นข้อยกเว้นที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง

              2.2. นอกจากนี้ ในการชนยานพาหนะทางบกนั้น ผู้เอาประกัน(หมายความรวมถึงผู้ขับขี่ที่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกัน ภัยให้ใช้รถด้วยด้วย)เป็นฝ่ายผิดแล้ว ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท/ครั้ง ด้วย ซึ่งหมายความว่าเบี้ยประกันภัยที่แท้จริงมิใช่ราคาที่เรียกเก็บ แต่เป็นราคาที่เรียกเก็บหักเงื่อนไขค่าเสียหายส่วนแรกจำนวน 2000 บาทไว้แล้ว ดังนั้นเบี้ยประกันที่แท้จริงจึงอยู่ที่ประมาณ 6,800 + 2,000 บาท รวมเป็น 8,800 บาท ใกล้เคียงกับเบี้ยประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ที่บางคันมีเบี้ยประกันภัย 12,000 – 15,000 บาท แล้วมี ค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท ก็จะคงเหลือ 10,000 – 13,000 บาท แต่ได้รับความคุ้มครองสูงกว่า

    สรุป - ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส เหมาะสำหรับ

         1. ผู้ที่มีความสามารถในการจ่ายเงินจำนวนน้อยเพื่อการประกันภัยรถยนต์ แต่ต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติมจากเดิม ใช้รถน้อย และมีความเสี่ยงในการเกิดการชนกับยานพาหนะทางบกเช่นรถยนต์หรือจักรยานยนต์ และไม่น่าจะสูญหายหรือไฟไหม้

         2. รถยนต์ที่มีอายุเกิน 10 ปี และบริษัทประกันภัยมักไม่รับประกันภัยให้ แต่ต้องการความคุ้มครองเพื่อการเยียวยาความเสียหายอันอาจมีขึ้น

    หมายเหตุ

         1. บริษัทประกันภัยบางแห่งมีเงื่อนไขไม่เรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท แต่เก็บเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมบางส่วน เช่นเพิ่มเติมจาก 6,800 บาท เป็น 7,800 บาท เป็นต้น ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่าจะเกิดเหตุการชนที่ตนเป็นฝ่ายผิดบ่อยๆ

         2. ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส เป็นเหมือนประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 ทุกประการ แต่มีการทำประกันภัยเพิ่มเติมในความเสียหายตัวรถ อันเป็นการประกันภัยเบ็ดเตล็ดชนิดหนึ่ง และยังไม่ถือว่าเป็นแบบประกันภัยมาตรฐาน

         3. ขณะนี้ มีการประกาศใช้แบบประกันภัยรถยนต์ มาตรฐาน ประเภทที่ 5(เดิมมี 4 ประเภท)โดยกรมการประกันภัย ซึ่งแบบกรมธรรม์มาตรฐานดังกล่าว สามารถใช้กับประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 พิเศษ และ ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 พิเศษ(มีความคุ้มครองรวมถึงการสูญหาย+ไฟไหม้ ของรถยนต์คันเอาประกันภัย แต่ภายในวงเงินจำกัดเช่นกัน) ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้สามารถเลือกได้ตรงความต้องการและความจำเป็นของแต่ละบุคคล

    ไปหน้าแรก  การดูแลรักษารถยนต์




    ขอบคุณบทความจาก http://prakan3plus.blogspot.com/2012/04/what-is-car-insurance-3-plus.html

    ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ

    สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมเอาข้อมูลของประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครมาฝากคุณผู้อ่านทุกท่านครับ บางคนอาจจะรู้เรื่องการประกันภัยรถยนต์นี้ดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่า ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจมีกี่ประเภทอะไรบ้างและแต่ละประเภทมีความคุ้มครองยังไง 

    วันนี้ผมจะเอาข้อมูลมาแถลงไขข้อข้องใจให้กับผู้อ่าน ได้รับทราบและสามารถนำข้อมูลนี้ไปตัดสินใจเลือกทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจได้ตรงกับความต้องการของตนเองได้เลยครับ

    ประเภทของประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ มี 5 ประเภทดังนี้

    กรมธรรม์ประเภท 1 - ให้ความคุ้มครองมากที่สุด


    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย

    * ในกรณีได้รับส่วนลดประวัติดี สามารถรับส่วนลดโดยมีหลักฐานประวัติดีแสดงต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งงาน

    กรมธรรม์ประเภท 2 - ให้ความคุ้มครองรองลงมาจากประเภทที่ 1


    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย

    กรมธรรม์ประเภท 3 -ให้ความคุ้มครองเฉพาะบุคคลภายนอก


    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก

    กรมธรรม์ประเภท 4- ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินของบุคคลภายนอก


    • รับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก 100,000 บาท/อุบัติเหตุแต่ละครั้ง

    จ่ายเพิ่มอีกนิด จาก พ.ร.บ. คุ้มครองคุ้มค่ากว่าเยอะ
    จ่ายค่าเสียหายของทรัพย์สินผู้อื่นแทนท่าน
    100,000 บาท ต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง

    สะดวก หาซื้อง่ายในราคาประหยัด รวดเร็ว เพียงจ่ายเพิ่มอีกนิดจาก พ.ร.บ. จะได้รับความคุ้มครองรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก 100,000 บาท/อุบัติเหตุแต่ละครั้ง ให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ ด้วยความพร้อมของตัวแทน สาขา และศูนย์ปฏิบัติการสินไหมทดแทนทั่วประเทศ

    กรมธรรม์ประเภท 5 - แบบคุ้มครองเฉพาะภัย

    แบบ 2+

    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์
    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบก

    * กรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกและเป็นฝ่ายผิดจะต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรกต่อความเสียของตัวรถยนต์ผู้เอาประกันภัย ไม่เกิน 2,000 บาท

    แบบ 3+

    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบก
    อย่างไรก็ตาม การเลือกทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของรถยนต์และเลือกให้ตรงกับประเภทการใช้งานของเรา ก็จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการทำประกันภัยรถยนต์ครับ

    ไปหน้าแรก  ข่าวรถยนต์ใหม่



    ข้อมูลจาก http://www.viriyah.co.th
    ประเภทประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ

    ไขข้อข้องใจกับประเภทของประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ

    rutchapong  |  at   22:47

    ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ

    สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมเอาข้อมูลของประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครมาฝากคุณผู้อ่านทุกท่านครับ บางคนอาจจะรู้เรื่องการประกันภัยรถยนต์นี้ดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่า ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจมีกี่ประเภทอะไรบ้างและแต่ละประเภทมีความคุ้มครองยังไง 

    วันนี้ผมจะเอาข้อมูลมาแถลงไขข้อข้องใจให้กับผู้อ่าน ได้รับทราบและสามารถนำข้อมูลนี้ไปตัดสินใจเลือกทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจได้ตรงกับความต้องการของตนเองได้เลยครับ

    ประเภทของประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ มี 5 ประเภทดังนี้

    กรมธรรม์ประเภท 1 - ให้ความคุ้มครองมากที่สุด


    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย

    * ในกรณีได้รับส่วนลดประวัติดี สามารถรับส่วนลดโดยมีหลักฐานประวัติดีแสดงต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งงาน

    กรมธรรม์ประเภท 2 - ให้ความคุ้มครองรองลงมาจากประเภทที่ 1


    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย

    กรมธรรม์ประเภท 3 -ให้ความคุ้มครองเฉพาะบุคคลภายนอก


    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก

    กรมธรรม์ประเภท 4- ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินของบุคคลภายนอก


    • รับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก 100,000 บาท/อุบัติเหตุแต่ละครั้ง

    จ่ายเพิ่มอีกนิด จาก พ.ร.บ. คุ้มครองคุ้มค่ากว่าเยอะ
    จ่ายค่าเสียหายของทรัพย์สินผู้อื่นแทนท่าน
    100,000 บาท ต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง

    สะดวก หาซื้อง่ายในราคาประหยัด รวดเร็ว เพียงจ่ายเพิ่มอีกนิดจาก พ.ร.บ. จะได้รับความคุ้มครองรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก 100,000 บาท/อุบัติเหตุแต่ละครั้ง ให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ ด้วยความพร้อมของตัวแทน สาขา และศูนย์ปฏิบัติการสินไหมทดแทนทั่วประเทศ

    กรมธรรม์ประเภท 5 - แบบคุ้มครองเฉพาะภัย

    แบบ 2+

    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์
    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบก

    * กรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกและเป็นฝ่ายผิดจะต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรกต่อความเสียของตัวรถยนต์ผู้เอาประกันภัย ไม่เกิน 2,000 บาท

    แบบ 3+

    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
    • ความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบก
    อย่างไรก็ตาม การเลือกทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของรถยนต์และเลือกให้ตรงกับประเภทการใช้งานของเรา ก็จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการทำประกันภัยรถยนต์ครับ

    ไปหน้าแรก  ข่าวรถยนต์ใหม่



    ข้อมูลจาก http://www.viriyah.co.th

    มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015 ยอดจองคึกคัก กระตุ้นตลาดรถยนต์ครึ่งปีหลัง

    ปิดฉากไปแล้วอย่างงดงามกับมหกรรมแสดงและจำหน่ายรถยนต์ใหม่และรถยนต์ใหม่ใช้แล้ว Fast Auto Show Thailand 2015 ครั้งที่ 4 ภายใต้แนวคิด “FAST เลือกคันที่ชอบ ถอยคันที่ใช่”     หลังประสบความสำเร็จมาต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วยจุดแข็งซื้อรถในงานได้รับการประกันคุณภาพโดยกูรูรถยนต์ระดับแนวหน้าของเมืองไทย โดยงานนี้ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งป้ายแดงและรถยนต์ใช้แล้วจากศูนย์รถยนต์มือสองชั้นนำแฮปปี้กันถ้วนหน้า ด้วยยอดจองรถกว่า 2,780 คัน      มีผู้เข้าชมงานตลอด 5 วันทั้งสิ้น 230,000 คน ปีหน้าเตรียมจัดให้มีรถหลากหลายประเภทขึ้น

    มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015

     นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ประธานบริษัท คิง ออฟ ออโต้ โปรดักท์ จำกัด และประธานจัดงาน “มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015” เปิดเผยว่า “มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015” ปีนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ถือว่าประสบความสำเร็จตามคาด มีผู้เข้าชมงานกว่า 230,000 คน ยอดจองรถใหม่ 1,900 คัน และยอดขายรถใช้แล้ว 880 คัน พูดได้เลยว่างานนี้เป็นแหล่งพบปะของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีโอกาสมาพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย และเมื่อมองภาพรวมตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 แล้ว มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015 ถือเป็นงานแรกที่ทำให้ผู้ประกอบการรถยนต์และสถาบันการเงินเกิดการตื่นตัว และหันมาให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมรถยนต์มากขึ้น และที่สำคัญงานนี้ถือเป็นอีกแรงผลักดันหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

    “แม้ภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้จะลดลง 15% แต่ยอดขาย   ในงานถือว่าน่าพอใจเมื่อเทียบกับอัตราการลดลงของภาพรวมตลาด และในปีหน้าเราอาจจะเพิ่ม    ความหลากหลายของประเภทรถที่จะนำมาจัดแสดงในงานให้มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ       ให้ครอบคลุมทุกความต้องการยิ่งขึ้น อย่างเช่นในปีนี้เรามีรถจักรยานยนต์ใหญ่ ดูคาติ มาเข้าร่วม       จัดแสดงเป็นครั้งแรกอีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการและผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากงานนี้อีกเช่นเคย” นายพัฒนเดช กล่าว 

    มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015

    นายชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ รองประธานจัดงาน ฝ่ายรถใหม่  กล่าวว่า สืบเนื่องจากช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ที่ภาพรวมตลาดรถใหม่ยังคงมีอัตราเติบโตติดลบอยู่บ้าง เนื่องจากตลาดกำลังอยู่ในช่วงปรับสมดุลสู่ความต้องการที่แท้จริง มาถึงตอนนี้เราคาดว่าสถานการณ์จะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ เห็นได้จากค่ายรถยนต์หลายยี่ห้อมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015 ในปีนี้เราได้รับเกียรติจากค่ายซูซูกิที่นำรถยนต์ซีดานรุ่นใหม่เอี่ยม New Suzuki Ciaz มาเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสสุดยอดยนตรกรรมใหม่นี้ก่อนใคร รวมถึงมีการนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์จากอีกหลายค่ายในงาน อาทิ ยนตรกรรมจากปอร์เช่ ที่เป็นรถยนต์ไฮบริดซึ่งกำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นในตลาด ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่าตลาดรถยนต์ในครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มปรับตัวไปในทิศทางบวก เติบโตขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากหลายปัจจัย อาทิ นโยบายกระตุ้นรายจ่ายภาครัฐ และความคืบหน้าโครงการสำคัญๆ หลายโครงการ ภาคการส่งออกปรับตัวดีขึ้น การเปิดตัวรถยนต์ใหม่หลายรุ่น และอัตราภาษีใหม่ที่จะเริ่มบังคับใช้ในปีหน้า ซึ่งจะเป็นแรงหนุนที่ทำให้ตลาดปรับสมดุลเร็วขึ้น

    สำหรับ “มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015” ในปีนี้มีค่ายรถยนต์ชั้นนำ 14 ราย      เข้าร่วมงาน พร้อมนำเสนอโปรโมชั่นและแคมเปญพิเศษมากมาย ได้แก่ 1. ฮอนด้า 2. ฮุนได 3. อีซูซุ       4. มาสด้า 5. เอ็มจี 6. มิตซูบิชิ 7. นิสสัน 8. ปอร์เช 9. ซูซูกิ 10. โตโยต้า 11. ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เค้งหงษ์ทอง 12. ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ซูบารุ 13. ผู้นำเข้าอิสระ เทดดี้ ออโต้ เซลล์ และ 14. ผู้แทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ใหญ่ ดูคาติ

    มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015

    ด้าน นายอัษฎาวุธ อาสาสรรพกิจ รองประธานจัดงาน ฝ่ายรถใหม่ใช้แล้ว กล่าวว่า    ตลาดรถยนต์มือสองในขณะนี้ถือว่าเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสนใจเพราะมีตัวเลือกที่หลากหลายและราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายมากขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคสะท้อนพฤติกรรมการเลือกใช้รถที่เหมาะสมกับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่แท้จริงมากขึ้นด้วย สำหรับเทรนด์ความนิยมรถยนต์มือสองปีนี้นับว่าเป็นโอกาสทองของตลาดรถยนต์มือสองที่มีรถยนต์ให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีการแข่งขันสูง ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้เลือกรถยนต์ที่ตรงกับความต้องการได้ง่ายมากขึ้น 

    “จากตัวเลขยอดขายรถยนต์ใหม่ใช้แล้วในงานปีนี้อยู่ที่ 880 คัน ถือว่ามียอดจำหน่ายดีมาก       ฟีดแบ็คดี ทั้งรถเล็กและรถใหญ่ รวมถึงรถหรูราคาหลักล้านขึ้น ซึ่งพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสูง สถานะทางการเงินดี ตรงกับผลการสำรวจที่พบว่าประชากรที่อาศัยในทำเลฝั่งกรุงเทพตะวันออก       ซึ่งกำลังเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่มีกำลังซื้อสูงสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคที่นิยมซื้อรถมือสองยังคงมีจำนวนมากพอสมควร ประกอบกับงานนี้ที่นอกจากจะมีข้อเสนอพิเศษและ โปรโมชั่นร้อนแรง    ที่ดึงดูดใจผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ยังมีความพิเศษตรงที่มีการรับประกันคุณภาพรถยนต์โดยกูรูรถยนต์ชื่อดังของเมืองไทยอย่างอาจารย์พัฒนเดชอีกด้วย จึงทำให้ยอดขายรถยนต์มือสองในปีนี้ประสบความสำเร็จเป็นไปตามที่คาดไว้ ซึ่งผู้ประกอบการทั้งหมดต่างยอมรับว่ายอดขายในปีนี้ประสบความสำเร็จเกินคาด และจะมาอีกแน่นอนในปีหน้า” นายอัษฎาวุธ กล่าวเพิ่มเติม 

    งาน Fast Auto Show Thailand 2015 ได้รับความร่วมมือจากศูนย์รถยนต์มือสองรายใหญ่ จากทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้ง 6 ค่ายมาร่วมภายในงานประกอบด้วย โต ออโต้คาร์, วิสาร   ออโต้ คาร์, ศูนย์รถยนต์, 54 นิวัฒน์, โย รัชดา, DDS คาร์เซ็นเตอร์และเก่ง พระราม 9 ซึ่งผู้ประกอบการรถยนต์มือสองแต่ละราย ล้วนแต่มีประสบการณ์และความชำนาญมายาวนาน ดังนั้นจึงมั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพของรถยนต์ที่นำมาจำหน่าย ความหลากหลายของรถยนต์ที่นำมาจำหน่ายในงาน และการตรวจสอบคุณภาพ และผ่านการคัดเลือกโดยอาจารย์พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์มือสองคุณภาพดีได้อย่างสบายใจและรวดเร็ว

    ไปหน้าแรก  ข่าวสารรถยนต์


    รถยนต์ใหม่

    ปิดฉากอย่างสวยงามกับมหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015 ยอดจองล้นทะลัก

    rutchapong  |  at   18:17

    มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015 ยอดจองคึกคัก กระตุ้นตลาดรถยนต์ครึ่งปีหลัง

    ปิดฉากไปแล้วอย่างงดงามกับมหกรรมแสดงและจำหน่ายรถยนต์ใหม่และรถยนต์ใหม่ใช้แล้ว Fast Auto Show Thailand 2015 ครั้งที่ 4 ภายใต้แนวคิด “FAST เลือกคันที่ชอบ ถอยคันที่ใช่”     หลังประสบความสำเร็จมาต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วยจุดแข็งซื้อรถในงานได้รับการประกันคุณภาพโดยกูรูรถยนต์ระดับแนวหน้าของเมืองไทย โดยงานนี้ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งป้ายแดงและรถยนต์ใช้แล้วจากศูนย์รถยนต์มือสองชั้นนำแฮปปี้กันถ้วนหน้า ด้วยยอดจองรถกว่า 2,780 คัน      มีผู้เข้าชมงานตลอด 5 วันทั้งสิ้น 230,000 คน ปีหน้าเตรียมจัดให้มีรถหลากหลายประเภทขึ้น

    มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015

     นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ประธานบริษัท คิง ออฟ ออโต้ โปรดักท์ จำกัด และประธานจัดงาน “มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015” เปิดเผยว่า “มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015” ปีนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ถือว่าประสบความสำเร็จตามคาด มีผู้เข้าชมงานกว่า 230,000 คน ยอดจองรถใหม่ 1,900 คัน และยอดขายรถใช้แล้ว 880 คัน พูดได้เลยว่างานนี้เป็นแหล่งพบปะของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีโอกาสมาพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย และเมื่อมองภาพรวมตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 แล้ว มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015 ถือเป็นงานแรกที่ทำให้ผู้ประกอบการรถยนต์และสถาบันการเงินเกิดการตื่นตัว และหันมาให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมรถยนต์มากขึ้น และที่สำคัญงานนี้ถือเป็นอีกแรงผลักดันหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

    “แม้ภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้จะลดลง 15% แต่ยอดขาย   ในงานถือว่าน่าพอใจเมื่อเทียบกับอัตราการลดลงของภาพรวมตลาด และในปีหน้าเราอาจจะเพิ่ม    ความหลากหลายของประเภทรถที่จะนำมาจัดแสดงในงานให้มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ       ให้ครอบคลุมทุกความต้องการยิ่งขึ้น อย่างเช่นในปีนี้เรามีรถจักรยานยนต์ใหญ่ ดูคาติ มาเข้าร่วม       จัดแสดงเป็นครั้งแรกอีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการและผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากงานนี้อีกเช่นเคย” นายพัฒนเดช กล่าว 

    มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015

    นายชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ รองประธานจัดงาน ฝ่ายรถใหม่  กล่าวว่า สืบเนื่องจากช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ที่ภาพรวมตลาดรถใหม่ยังคงมีอัตราเติบโตติดลบอยู่บ้าง เนื่องจากตลาดกำลังอยู่ในช่วงปรับสมดุลสู่ความต้องการที่แท้จริง มาถึงตอนนี้เราคาดว่าสถานการณ์จะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ เห็นได้จากค่ายรถยนต์หลายยี่ห้อมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015 ในปีนี้เราได้รับเกียรติจากค่ายซูซูกิที่นำรถยนต์ซีดานรุ่นใหม่เอี่ยม New Suzuki Ciaz มาเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสสุดยอดยนตรกรรมใหม่นี้ก่อนใคร รวมถึงมีการนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์จากอีกหลายค่ายในงาน อาทิ ยนตรกรรมจากปอร์เช่ ที่เป็นรถยนต์ไฮบริดซึ่งกำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นในตลาด ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่าตลาดรถยนต์ในครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มปรับตัวไปในทิศทางบวก เติบโตขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากหลายปัจจัย อาทิ นโยบายกระตุ้นรายจ่ายภาครัฐ และความคืบหน้าโครงการสำคัญๆ หลายโครงการ ภาคการส่งออกปรับตัวดีขึ้น การเปิดตัวรถยนต์ใหม่หลายรุ่น และอัตราภาษีใหม่ที่จะเริ่มบังคับใช้ในปีหน้า ซึ่งจะเป็นแรงหนุนที่ทำให้ตลาดปรับสมดุลเร็วขึ้น

    สำหรับ “มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015” ในปีนี้มีค่ายรถยนต์ชั้นนำ 14 ราย      เข้าร่วมงาน พร้อมนำเสนอโปรโมชั่นและแคมเปญพิเศษมากมาย ได้แก่ 1. ฮอนด้า 2. ฮุนได 3. อีซูซุ       4. มาสด้า 5. เอ็มจี 6. มิตซูบิชิ 7. นิสสัน 8. ปอร์เช 9. ซูซูกิ 10. โตโยต้า 11. ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เค้งหงษ์ทอง 12. ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ซูบารุ 13. ผู้นำเข้าอิสระ เทดดี้ ออโต้ เซลล์ และ 14. ผู้แทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ใหญ่ ดูคาติ

    มหกรรม Fast Auto Show Thailand 2015

    ด้าน นายอัษฎาวุธ อาสาสรรพกิจ รองประธานจัดงาน ฝ่ายรถใหม่ใช้แล้ว กล่าวว่า    ตลาดรถยนต์มือสองในขณะนี้ถือว่าเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสนใจเพราะมีตัวเลือกที่หลากหลายและราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายมากขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคสะท้อนพฤติกรรมการเลือกใช้รถที่เหมาะสมกับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่แท้จริงมากขึ้นด้วย สำหรับเทรนด์ความนิยมรถยนต์มือสองปีนี้นับว่าเป็นโอกาสทองของตลาดรถยนต์มือสองที่มีรถยนต์ให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีการแข่งขันสูง ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้เลือกรถยนต์ที่ตรงกับความต้องการได้ง่ายมากขึ้น 

    “จากตัวเลขยอดขายรถยนต์ใหม่ใช้แล้วในงานปีนี้อยู่ที่ 880 คัน ถือว่ามียอดจำหน่ายดีมาก       ฟีดแบ็คดี ทั้งรถเล็กและรถใหญ่ รวมถึงรถหรูราคาหลักล้านขึ้น ซึ่งพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสูง สถานะทางการเงินดี ตรงกับผลการสำรวจที่พบว่าประชากรที่อาศัยในทำเลฝั่งกรุงเทพตะวันออก       ซึ่งกำลังเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่มีกำลังซื้อสูงสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคที่นิยมซื้อรถมือสองยังคงมีจำนวนมากพอสมควร ประกอบกับงานนี้ที่นอกจากจะมีข้อเสนอพิเศษและ โปรโมชั่นร้อนแรง    ที่ดึงดูดใจผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ยังมีความพิเศษตรงที่มีการรับประกันคุณภาพรถยนต์โดยกูรูรถยนต์ชื่อดังของเมืองไทยอย่างอาจารย์พัฒนเดชอีกด้วย จึงทำให้ยอดขายรถยนต์มือสองในปีนี้ประสบความสำเร็จเป็นไปตามที่คาดไว้ ซึ่งผู้ประกอบการทั้งหมดต่างยอมรับว่ายอดขายในปีนี้ประสบความสำเร็จเกินคาด และจะมาอีกแน่นอนในปีหน้า” นายอัษฎาวุธ กล่าวเพิ่มเติม 

    งาน Fast Auto Show Thailand 2015 ได้รับความร่วมมือจากศูนย์รถยนต์มือสองรายใหญ่ จากทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้ง 6 ค่ายมาร่วมภายในงานประกอบด้วย โต ออโต้คาร์, วิสาร   ออโต้ คาร์, ศูนย์รถยนต์, 54 นิวัฒน์, โย รัชดา, DDS คาร์เซ็นเตอร์และเก่ง พระราม 9 ซึ่งผู้ประกอบการรถยนต์มือสองแต่ละราย ล้วนแต่มีประสบการณ์และความชำนาญมายาวนาน ดังนั้นจึงมั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพของรถยนต์ที่นำมาจำหน่าย ความหลากหลายของรถยนต์ที่นำมาจำหน่ายในงาน และการตรวจสอบคุณภาพ และผ่านการคัดเลือกโดยอาจารย์พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์มือสองคุณภาพดีได้อย่างสบายใจและรวดเร็ว

    ไปหน้าแรก  ข่าวสารรถยนต์


    รถยนต์ Supercar ที่เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงาน Supercar & Import Car Show ครั้งที่ 5 ที่ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นคือเจ้า McLaren 650s Spider ซึ่งเป็นรถระดับซูเปอร์คาร์สัญชาติอังกฤษ โดยทางแม็คลาเรนได้เปิดตัวครั้งแรกที่งาน 2014 Geneva Motor Show ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา การออกแบบดีไซน์ใช้ต้นแบบมาจาก McLaren 12C และสุดยอดรถของแม็คลาเรนอย่าง McLaren P1 เป็นการผสมผสานการออกแบบเส้นสายได้อย่างลงตัว ตามหลักเส้นสายของแม็คลาเรนในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่เรื่องรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยมดูเเล้วน่าหลงไหลเท่านั้น การออกแบบยังส่งผลให้ระบบแอร์โรไดนามิคดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 12C 

    Supercar McLaren 650S


    แม็คลาเรน 650 เอส รูปลักษณ์ด้านข้างและด้านหลังดูเเล้วเหมือนกับ McLaren 12C แต่พอเดินมาด้านหน้าเหมือนถอดแบบมาจาก McLaren P1 …หลายคนคงเกิดคำถามว่าเจ้า 650เอส คันนี้อาจจะเข้ามาทำตลาดแทน McLaren 12C หรือเปล่า ? เนื่องจากว่าพอดูสเปคและรูปลักษณ์แล้วเปลี่ยนเเปลงจาก 12C น้อยมาก

    เริ่มตั้งแต่แชสซีใช้ยังคงใช้คาร์บอนไฟเบอร์ เครื่องยนต์วางกลางตามยาวตัวเดียวกันรหัส McLaren M838T แบบ V8 ขนาดความจุ 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่  แต่สิ่งที่เหนือกว่า 12C รุ่นมารตฐานคือ สามารถรีดกำลังออกมาได้ 650 แรงม้า (478KW) 641HP ที่ 7,250 รอบ/นาที ส่วน แรงบิด 678 นิวตันเมตร(500 lb-ft) ที่ 6,000 รอบต่อนาที มาพร้อมกับระบบเกียร์ดูอัลคลัช 7 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง  ในรุ่นคูเป้มีน้ำหนัก 1,301 กิโลกรัม (2,868LB) [อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าอยู่ที่ 2 กิโลกรัม/แรงม้า ซึ่งแน่นอนว่าอัตรส่วนนี้ดีกว่า McLaren 12C อย่างเห็นได้ชัด เพราะ 12C มีน้ำหนักที่มากกว่า (2,956LB) แต่มีเเรงม้าเพียง 625 แรงม้าเท่านั้น ทำให้อัตราเร่งดีกว่านั่นเอง]…มีความเร็วสูงสุดที่  333 กิโลเมตร/ชั่วโมง (207 ไมล์ต่อชั่วโมง) อัตราเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง (0-62 ไมล์ต่อชั่วโมง) ใน 3 วินาที  และจาก 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง (0-124 ไมล์ต่อชั่วโมง) ใน 8.4 วินาที

    เปรียบเทียบสเปค McLaren 650S กับ McLaren 12C ทุกรุ่น
    650S / 12C / 650S Spider / 12C Spider …ทุกรุ่นใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 3,799 ซีซี รหัส M838T เทคโนโลยีเทอร์โบคู่ รอบเครื่องยนต์สูงสุดที่ 8,500 รอบ/นาที เหมือนกัน

    Supercar McLaren 650S


    McLaren 650S
    ความเร็วสูงสุด : 333KPH (207MPH)
    อัตราเร่ง : 0-100KPH (62MPH) ใน 3.0 วินาที
    อัตราเร่ง : 0-200KPH (124MPH) ใน 8.4 วินาที
    แรงม้า : 650PS (478KW) 641HP @ 7,250RPM
    แรงบิด :  678NM (500LB FT) @ 6,000RPM
    อัตราการสิ้นเปลือง : 11.7 ลิตร/100KM
    อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ : 275G/KM
    น้ำหนักรถ : 1,301KG (2,868LB)

    McLaren 12C
    ความเร็วสูงสุด : 329KPH (204MPH)
    อัตราเร่ง : 0-100KPH (62MPH) ใน 3.3 วินาที (3.1S WITH CORSA TYRES)
    อัตราเร่ง : 0-200KPH (124MPH) ใน 9.2 วินาที (9.0S WITH CORSA TYRES)
    แรงม้า : 625PS (460KW) 616HP @ 7,500RPM
    แรงบิด :  600NM (443LB FT) @ 3,000-7,000RPM
    อัตราการสิ้นเปลือง : 11.7L/100KM
    อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ : 279G/KM
    น้ำหนักรถ : 1,341KG (2,956LB)

    McLaren 650S Spider
    ความเร็วสูงสุด : 329KPH (204MPH)
    อัตราเร่ง : 0-100KPH (62MPH) ใน 3.0 วินาที
    อัตราเร่ง : 0-200KPH (124MPH) ใน 8.6 วินาที
    แรงม้า : 650PS (478KW) 641HP @ 7,250RPM
    แรงบิด :  678NM (500LB FT) @ 6,000RPM
    อัตราการสิ้นเปลือง : 11.7L/100KM
    อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ : 275G/KM
    น้ำหนักรถ : 1,341KG (2,956LB)

    McLaren 12C Spider
    ความเร็วสูงสุด : 329KPH (204MPH)
    อัตราเร่ง : 0-100KPH (62MPH) ใน 3.3S (3.1S WITH CORSA TYRES)
    อัตราเร่ง :0-200KPH (124MPH) ใน 9.2S (9.0S WITH CORSA TYRES)
    แรงม้า : 625PS (460KW) 616HP @ 7,500RPM
    แรงบิด :  600NM (443LB FT) @ 3,000-7,000RPM
    อัตราการสิ้นเปลือง : 11.7L/100KM
    อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ : 279G/KM
    น้ำหนักรถ : 1,341KG (2,956LB)

    สรุปสิ่งที่เห็นได้ชัดของความแตกต่างระหว่าง McLaren 650S กับ McLaren 12C คือความเร็วสูงสุดที่เพิ่มมากขึ้น อัตราร่งจาก 0-100 และ 0-200 กิโลเมตรที่ดีขึ้น แรงม้าที่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีแรงบิดที่มากกว่าเดิม อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดลง น้ำหนักรถที่เบาลง …ดังนั้น 650S เบากว่า แรงกว่า เร็วกว่า รักโลกมากกว่า 12C และราคาก็แรงกว่า

    ราคา McLaren 650S และ McLaren 650S Spider ที่ บริษัท นิช คาร์ จำกัด ซึ่งทางนิชคาร์เป็นตัวแทนและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ McLaren อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 26 ล้านบาทสำหรับ  McLaren 650S.. ส่วน 27.5 ล้านบาท สำหรับ  McLaren 650S Spider

    ไปหน้าแรก  ข่าวรถยนต์ใหม่


    ที่มา www.thailandsupercars.com/mclaren-650s-spider-12c.html

    รถ Super Car

    สุดยอด Supercar McLaren 650S กับขุมกำลังที่เหนือกว่า

    rutchapong  |  at   21:26

    รถยนต์ Supercar ที่เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงาน Supercar & Import Car Show ครั้งที่ 5 ที่ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นคือเจ้า McLaren 650s Spider ซึ่งเป็นรถระดับซูเปอร์คาร์สัญชาติอังกฤษ โดยทางแม็คลาเรนได้เปิดตัวครั้งแรกที่งาน 2014 Geneva Motor Show ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา การออกแบบดีไซน์ใช้ต้นแบบมาจาก McLaren 12C และสุดยอดรถของแม็คลาเรนอย่าง McLaren P1 เป็นการผสมผสานการออกแบบเส้นสายได้อย่างลงตัว ตามหลักเส้นสายของแม็คลาเรนในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่เรื่องรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยมดูเเล้วน่าหลงไหลเท่านั้น การออกแบบยังส่งผลให้ระบบแอร์โรไดนามิคดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 12C 

    Supercar McLaren 650S


    แม็คลาเรน 650 เอส รูปลักษณ์ด้านข้างและด้านหลังดูเเล้วเหมือนกับ McLaren 12C แต่พอเดินมาด้านหน้าเหมือนถอดแบบมาจาก McLaren P1 …หลายคนคงเกิดคำถามว่าเจ้า 650เอส คันนี้อาจจะเข้ามาทำตลาดแทน McLaren 12C หรือเปล่า ? เนื่องจากว่าพอดูสเปคและรูปลักษณ์แล้วเปลี่ยนเเปลงจาก 12C น้อยมาก

    เริ่มตั้งแต่แชสซีใช้ยังคงใช้คาร์บอนไฟเบอร์ เครื่องยนต์วางกลางตามยาวตัวเดียวกันรหัส McLaren M838T แบบ V8 ขนาดความจุ 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่  แต่สิ่งที่เหนือกว่า 12C รุ่นมารตฐานคือ สามารถรีดกำลังออกมาได้ 650 แรงม้า (478KW) 641HP ที่ 7,250 รอบ/นาที ส่วน แรงบิด 678 นิวตันเมตร(500 lb-ft) ที่ 6,000 รอบต่อนาที มาพร้อมกับระบบเกียร์ดูอัลคลัช 7 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง  ในรุ่นคูเป้มีน้ำหนัก 1,301 กิโลกรัม (2,868LB) [อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าอยู่ที่ 2 กิโลกรัม/แรงม้า ซึ่งแน่นอนว่าอัตรส่วนนี้ดีกว่า McLaren 12C อย่างเห็นได้ชัด เพราะ 12C มีน้ำหนักที่มากกว่า (2,956LB) แต่มีเเรงม้าเพียง 625 แรงม้าเท่านั้น ทำให้อัตราเร่งดีกว่านั่นเอง]…มีความเร็วสูงสุดที่  333 กิโลเมตร/ชั่วโมง (207 ไมล์ต่อชั่วโมง) อัตราเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง (0-62 ไมล์ต่อชั่วโมง) ใน 3 วินาที  และจาก 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง (0-124 ไมล์ต่อชั่วโมง) ใน 8.4 วินาที

    เปรียบเทียบสเปค McLaren 650S กับ McLaren 12C ทุกรุ่น
    650S / 12C / 650S Spider / 12C Spider …ทุกรุ่นใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 3,799 ซีซี รหัส M838T เทคโนโลยีเทอร์โบคู่ รอบเครื่องยนต์สูงสุดที่ 8,500 รอบ/นาที เหมือนกัน

    Supercar McLaren 650S


    McLaren 650S
    ความเร็วสูงสุด : 333KPH (207MPH)
    อัตราเร่ง : 0-100KPH (62MPH) ใน 3.0 วินาที
    อัตราเร่ง : 0-200KPH (124MPH) ใน 8.4 วินาที
    แรงม้า : 650PS (478KW) 641HP @ 7,250RPM
    แรงบิด :  678NM (500LB FT) @ 6,000RPM
    อัตราการสิ้นเปลือง : 11.7 ลิตร/100KM
    อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ : 275G/KM
    น้ำหนักรถ : 1,301KG (2,868LB)

    McLaren 12C
    ความเร็วสูงสุด : 329KPH (204MPH)
    อัตราเร่ง : 0-100KPH (62MPH) ใน 3.3 วินาที (3.1S WITH CORSA TYRES)
    อัตราเร่ง : 0-200KPH (124MPH) ใน 9.2 วินาที (9.0S WITH CORSA TYRES)
    แรงม้า : 625PS (460KW) 616HP @ 7,500RPM
    แรงบิด :  600NM (443LB FT) @ 3,000-7,000RPM
    อัตราการสิ้นเปลือง : 11.7L/100KM
    อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ : 279G/KM
    น้ำหนักรถ : 1,341KG (2,956LB)

    McLaren 650S Spider
    ความเร็วสูงสุด : 329KPH (204MPH)
    อัตราเร่ง : 0-100KPH (62MPH) ใน 3.0 วินาที
    อัตราเร่ง : 0-200KPH (124MPH) ใน 8.6 วินาที
    แรงม้า : 650PS (478KW) 641HP @ 7,250RPM
    แรงบิด :  678NM (500LB FT) @ 6,000RPM
    อัตราการสิ้นเปลือง : 11.7L/100KM
    อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ : 275G/KM
    น้ำหนักรถ : 1,341KG (2,956LB)

    McLaren 12C Spider
    ความเร็วสูงสุด : 329KPH (204MPH)
    อัตราเร่ง : 0-100KPH (62MPH) ใน 3.3S (3.1S WITH CORSA TYRES)
    อัตราเร่ง :0-200KPH (124MPH) ใน 9.2S (9.0S WITH CORSA TYRES)
    แรงม้า : 625PS (460KW) 616HP @ 7,500RPM
    แรงบิด :  600NM (443LB FT) @ 3,000-7,000RPM
    อัตราการสิ้นเปลือง : 11.7L/100KM
    อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ : 279G/KM
    น้ำหนักรถ : 1,341KG (2,956LB)

    สรุปสิ่งที่เห็นได้ชัดของความแตกต่างระหว่าง McLaren 650S กับ McLaren 12C คือความเร็วสูงสุดที่เพิ่มมากขึ้น อัตราร่งจาก 0-100 และ 0-200 กิโลเมตรที่ดีขึ้น แรงม้าที่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีแรงบิดที่มากกว่าเดิม อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดลง น้ำหนักรถที่เบาลง …ดังนั้น 650S เบากว่า แรงกว่า เร็วกว่า รักโลกมากกว่า 12C และราคาก็แรงกว่า

    ราคา McLaren 650S และ McLaren 650S Spider ที่ บริษัท นิช คาร์ จำกัด ซึ่งทางนิชคาร์เป็นตัวแทนและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ McLaren อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 26 ล้านบาทสำหรับ  McLaren 650S.. ส่วน 27.5 ล้านบาท สำหรับ  McLaren 650S Spider

    ไปหน้าแรก  ข่าวรถยนต์ใหม่


    ที่มา www.thailandsupercars.com/mclaren-650s-spider-12c.html

    การที่เราไม่ค่อยล้างรถยนต์ในช่วงหน้าฝน เพราะคิดว่า ล้างไปเดี๋ยวก็เลอะอีก เป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมาแบบผิดๆ ลองคิดง่ายๆ ครับ เวลาที่เราออกกำลังกาย เหงื่อท่วมไปทั้งตัวเราเองยังต้องรีบอาบน้ำ เพื่อทำความสะอาดร่างกายใช่มั๊ยครับ รถยนต์สวยๆ ของเราก็เช่นเดียวกันครับ เมื่อเราขับรถลุยฝน ลุยน้ำท่วม สกปรกเลอะเทอะเราก็ควรที่จะรีบทำความสะอาด ล้างรถยนต์เช่นเดียวกันครับ

    การดูแลรถยนต์ในหน้าฝน

    เพราะอะไรครับ.... เพราะว่า ปัจจุบันนั้น ฝนเมืองไทย โดยเฉพาะกรุงเทพ และเขตอุตสาหกรรมนั้น จะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ หรือที่เรียกกันว่า "ฝนกรด" นั้นแหล่ะครับ ถ้าเราไม่รีบล้าง ทำความสะอาด ฝนกรดนี้ก็อาจจะกัดสีรถยนต์เราได้  ดังนั้น เราควรเปลี่ยนความคิด หันมาล้างรถอย่างประจำจะดีกว่า หน้าฝนควรที่จะต้องล้างรถยนต์มากกว่าหน้าอื่นๆ ด้วยครับ เพราะถ้าเราไม่ล้างรถ คราบน้ำ คราบขี้ไคล ก็จะสะสมอยู่ที่ผิวสี และอาจจะฝั่งแน่นเป็นคราบขี้ไคล ทำให้รถยนต์เราหม่น เหลือง ล้างไม่ออกครับ

    วิธีการดูแลรักษาสีรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน อย่างง่ายๆ 

    1. หมั่นล้างรถอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังลุยฝนมาครับ เพื่อจะช่วยไม่ให้เกิดคราบฝังแน่นครับ แต่ถ้าเราไม่มีเวลามาก แนะนำให้ใช้สายยางฉีดไล่ฝุ่น โคลน และคราบน้ำฝนครับ

    2. เมื่อเราขับรถลุยฝนมาแล้ว พยายามอย่าจอดรถตากแดดนะครับ เพราะจะทำให้คราบน้ำฝนแห้ง และเป็นคราบน้ำ ยิ่งถ้าเจอฝนกรดด้วยแล้ว คราบน้ำนั้นจะฝังตัวแน่น และอาจกัดลงถึงเนื้อสีได้ครับ (เช่นเดียวกันคราบน้ำแป้งในช่วงเทศกาลสงกรานต์)
    ซึ่งถ้าเป็นคราบน้ำแล้วเราล้างไม่ออก แนะนำให้รีบนำรถเข้ามาขัดเคลือบสีโดยด่วนเลยนะครับ อย่าทิ้งไว้นาน เพราะมันอาจจะขัดไม่ออกครับ

    3. ไม่ควรนำผ้าแห้งเช็ดรถหลังฝนตก เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เกิดรอยได้ครับ เพราะขณะที่เราขับรถลุยฝนนั้น จะมีฝุ่น ทราย โคลน เกาะที่ผิวสี เมื่อเช็ดรถด้วยผ้าแห้ง ก็อาจเกิดริ้วรอยได้ครับ ดังนั้น ควรฉีดน้ำล้างจะดีที่สุดครับ

    4. ไม่ควรล้างรถเองในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ เพราะบางครั้ง น้ำที่ตกค้างอยู่ตามซอก ตะเข็บรถ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รถเป็นสนิมได้ครับ

    5. ในช่วงหน้าฝน ไม่ควรจอดรถใต้ร่มไม้ที่มียาง เกสร ดอก หรือผล เพราะในฤดูฝน มักมีลมกรรโชกที่รุนแรง นอกจากต้นไม้จะหักหรือล้มมาโดนรถแล้ว สิ่งดังกล่าวอาจจะปลิวมาติดรถ และทำให้ผิวสีด่างและเสียได้ หากเราไม่แก้ไขให้ทันท่วงที

    6. หากมีเวลาว่าง ก็แนะนำให้เคลือบสีด้วยครับ การเคลือบสีนั้น นอกจากจะทำให้รถเราสวยงามแล้ว ยังช่วยป้องกันคราบน้ำจากฝนกรดด้วยนะครับ ถ้าเราเคลือบสีบ่อยๆ น้ำจะไม่เกาะที่ตัวรถ จะทำให้ลดการเกิดคราบน้ำครับ และยังจะช่วยให้เราล้างรถได้ง่ายขึ้นด้วยครับ แต่ถ้าเราไม่เคลือบสีเลย โอกาสเกิดคราบน้ำก็มีสูง คราบสกปรกก็จะฝังตัวได้ง่าย ทำให้เราล้างรถลำบากครับ

    รถใคร ๆ ก็รัก อย่างไรก็ตามในช่วงหน้าฝนนี้ทุกท่านก็อย่าลืมดูแลเอาใจใส่รถยนต์อันเป็นที่รัก ให้ดูดีอยู่เสมอ เพราะจะได้อยู่รับใช้เราไปได้อีกนาน ๆ

    ไปหน้าแรก  การดูแลรักษารถยนต์

    รถยนต์ใหม่

    เทคนิคการดูแลรักษาสีรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน ป้องกันการเกิดสนิม

    rutchapong  |  at   19:56

    การที่เราไม่ค่อยล้างรถยนต์ในช่วงหน้าฝน เพราะคิดว่า ล้างไปเดี๋ยวก็เลอะอีก เป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมาแบบผิดๆ ลองคิดง่ายๆ ครับ เวลาที่เราออกกำลังกาย เหงื่อท่วมไปทั้งตัวเราเองยังต้องรีบอาบน้ำ เพื่อทำความสะอาดร่างกายใช่มั๊ยครับ รถยนต์สวยๆ ของเราก็เช่นเดียวกันครับ เมื่อเราขับรถลุยฝน ลุยน้ำท่วม สกปรกเลอะเทอะเราก็ควรที่จะรีบทำความสะอาด ล้างรถยนต์เช่นเดียวกันครับ

    การดูแลรถยนต์ในหน้าฝน

    เพราะอะไรครับ.... เพราะว่า ปัจจุบันนั้น ฝนเมืองไทย โดยเฉพาะกรุงเทพ และเขตอุตสาหกรรมนั้น จะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ หรือที่เรียกกันว่า "ฝนกรด" นั้นแหล่ะครับ ถ้าเราไม่รีบล้าง ทำความสะอาด ฝนกรดนี้ก็อาจจะกัดสีรถยนต์เราได้  ดังนั้น เราควรเปลี่ยนความคิด หันมาล้างรถอย่างประจำจะดีกว่า หน้าฝนควรที่จะต้องล้างรถยนต์มากกว่าหน้าอื่นๆ ด้วยครับ เพราะถ้าเราไม่ล้างรถ คราบน้ำ คราบขี้ไคล ก็จะสะสมอยู่ที่ผิวสี และอาจจะฝั่งแน่นเป็นคราบขี้ไคล ทำให้รถยนต์เราหม่น เหลือง ล้างไม่ออกครับ

    วิธีการดูแลรักษาสีรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน อย่างง่ายๆ 

    1. หมั่นล้างรถอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังลุยฝนมาครับ เพื่อจะช่วยไม่ให้เกิดคราบฝังแน่นครับ แต่ถ้าเราไม่มีเวลามาก แนะนำให้ใช้สายยางฉีดไล่ฝุ่น โคลน และคราบน้ำฝนครับ

    2. เมื่อเราขับรถลุยฝนมาแล้ว พยายามอย่าจอดรถตากแดดนะครับ เพราะจะทำให้คราบน้ำฝนแห้ง และเป็นคราบน้ำ ยิ่งถ้าเจอฝนกรดด้วยแล้ว คราบน้ำนั้นจะฝังตัวแน่น และอาจกัดลงถึงเนื้อสีได้ครับ (เช่นเดียวกันคราบน้ำแป้งในช่วงเทศกาลสงกรานต์)
    ซึ่งถ้าเป็นคราบน้ำแล้วเราล้างไม่ออก แนะนำให้รีบนำรถเข้ามาขัดเคลือบสีโดยด่วนเลยนะครับ อย่าทิ้งไว้นาน เพราะมันอาจจะขัดไม่ออกครับ

    3. ไม่ควรนำผ้าแห้งเช็ดรถหลังฝนตก เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เกิดรอยได้ครับ เพราะขณะที่เราขับรถลุยฝนนั้น จะมีฝุ่น ทราย โคลน เกาะที่ผิวสี เมื่อเช็ดรถด้วยผ้าแห้ง ก็อาจเกิดริ้วรอยได้ครับ ดังนั้น ควรฉีดน้ำล้างจะดีที่สุดครับ

    4. ไม่ควรล้างรถเองในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ เพราะบางครั้ง น้ำที่ตกค้างอยู่ตามซอก ตะเข็บรถ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รถเป็นสนิมได้ครับ

    5. ในช่วงหน้าฝน ไม่ควรจอดรถใต้ร่มไม้ที่มียาง เกสร ดอก หรือผล เพราะในฤดูฝน มักมีลมกรรโชกที่รุนแรง นอกจากต้นไม้จะหักหรือล้มมาโดนรถแล้ว สิ่งดังกล่าวอาจจะปลิวมาติดรถ และทำให้ผิวสีด่างและเสียได้ หากเราไม่แก้ไขให้ทันท่วงที

    6. หากมีเวลาว่าง ก็แนะนำให้เคลือบสีด้วยครับ การเคลือบสีนั้น นอกจากจะทำให้รถเราสวยงามแล้ว ยังช่วยป้องกันคราบน้ำจากฝนกรดด้วยนะครับ ถ้าเราเคลือบสีบ่อยๆ น้ำจะไม่เกาะที่ตัวรถ จะทำให้ลดการเกิดคราบน้ำครับ และยังจะช่วยให้เราล้างรถได้ง่ายขึ้นด้วยครับ แต่ถ้าเราไม่เคลือบสีเลย โอกาสเกิดคราบน้ำก็มีสูง คราบสกปรกก็จะฝังตัวได้ง่าย ทำให้เราล้างรถลำบากครับ

    รถใคร ๆ ก็รัก อย่างไรก็ตามในช่วงหน้าฝนนี้ทุกท่านก็อย่าลืมดูแลเอาใจใส่รถยนต์อันเป็นที่รัก ให้ดูดีอยู่เสมอ เพราะจะได้อยู่รับใช้เราไปได้อีกนาน ๆ

    ไปหน้าแรก  การดูแลรักษารถยนต์

    ช่วงนี้เป็นช่วงของฤดูฝน มีฝนกระจายตกทั่วพื้นที่ของประเทศไทย น้ำฝนที่ตกลงมาทำให้ถนนเฉอะแฉะ มีความลื่นมากว่าปกติ ดังนั้นการขับรถยนต์ต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและการสิ้นเปลืองน้ำมัน ขอแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับการบำรุงรักษารถยนต์ต้อนรับหน้าฝนดังนี้ครับ

    ดูแลรถยนต์หน้าฝน

    1. ยางรถยนต์ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ต้องตรวจสอบการสึกของดอกยาง รอยบาดแผลของยาง มีตะปูของมีคมทิ่มแทงหรือไม่ ดอกยางสึกเกินไปเมื่อโดนน้ำจะไม่เกาะกับพื้นผิวถนน และที่สำคัญควรตรวจเช็คลมยางสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

         2. ระบบเบรก ตรวจดูการสึกของผ้าเบรกและระบบเบรกเบื้องต้นได้ที่คันเบรกที่เท้า ถ้าต้องการเบรกแล้วต้องเหยียบจมลงไปลึกผิดปกติ และไม่หยุดทันทียังมีลื่นไหลต่อ แสงดว่าระบบเบรกเสื่อมซึ่งมีทั้งผ้าเบรกสึก และระบบน้ำมันเบรกเสื่อม ต้องให้ช่างแก้ไขด่วน “ปัจจุบันรถรุ่นใหม่ ๆ มักจะมีไฟเตือนเมื่อเบรกสึก”

        3.ระบบปัดน้ำฝน ใบปัดน้ำฝนเมื่อผ่านการใช้งานไปนาน ๆ ยางปัดน้ำฝนจะแข็งตัว การยึดหยุ่นจะลดลงทำให้ปัดน้ำไม่หมด ควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนใหม่ทุกปี เมื่อเข้าหน้าฝน น้ำในหม้อน้ำ ปั๊มน้ำ และหัวฉีดตันหรือไม่ ลองกดทดสอบดูว่ายังทำงานปกติหรือไม่ จะใส่น้ำยาเช็ดกระจกลงในหม้อน้ำปัดน้ำฝนนิดหน่อยก็สามารถทำได้

        4.ตรวจเช็คระบบไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณต่าง ๆ เปิดไฟทั้งหมดดูว่าทำงานตามปกติหรือไม่ มีหลอดไหนติดหรือไม่ติด ถ้าพบว่ามีหลอดไหนไม่ติด ควรเปลี่ยนให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เพราะเมื่อเวลาฝนตกหนัก ๆ ทัศนะวิสัยจะไม่ดี การเปิดไฟช่วยส่องทาง หรือไฟเตือนต่าง ๆ จะทำให้รถคันอื่นสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น สามารถลดความเสี่ยงและการเกิดอุบัติเหตุได้

    ข้อแนะนำทั้งหมดนี้ เป็นการตรวจเช็คเบื้องต้นเพื่อเตรียมรถยนต์ที่แสนรักของเราให้พร้อมใช้งานในหน้าฝน และเพื่อช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันได้อีกด้วย

    ไปหน้าแรก  การดูแลรถยนต์




    รถยนต์ใหม่

    วิธีดูแลรถยนต์ให้พร้อมใช้ในหน้าฝน

    rutchapong  |  at   19:40

    ช่วงนี้เป็นช่วงของฤดูฝน มีฝนกระจายตกทั่วพื้นที่ของประเทศไทย น้ำฝนที่ตกลงมาทำให้ถนนเฉอะแฉะ มีความลื่นมากว่าปกติ ดังนั้นการขับรถยนต์ต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและการสิ้นเปลืองน้ำมัน ขอแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับการบำรุงรักษารถยนต์ต้อนรับหน้าฝนดังนี้ครับ

    ดูแลรถยนต์หน้าฝน

    1. ยางรถยนต์ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ต้องตรวจสอบการสึกของดอกยาง รอยบาดแผลของยาง มีตะปูของมีคมทิ่มแทงหรือไม่ ดอกยางสึกเกินไปเมื่อโดนน้ำจะไม่เกาะกับพื้นผิวถนน และที่สำคัญควรตรวจเช็คลมยางสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

         2. ระบบเบรก ตรวจดูการสึกของผ้าเบรกและระบบเบรกเบื้องต้นได้ที่คันเบรกที่เท้า ถ้าต้องการเบรกแล้วต้องเหยียบจมลงไปลึกผิดปกติ และไม่หยุดทันทียังมีลื่นไหลต่อ แสงดว่าระบบเบรกเสื่อมซึ่งมีทั้งผ้าเบรกสึก และระบบน้ำมันเบรกเสื่อม ต้องให้ช่างแก้ไขด่วน “ปัจจุบันรถรุ่นใหม่ ๆ มักจะมีไฟเตือนเมื่อเบรกสึก”

        3.ระบบปัดน้ำฝน ใบปัดน้ำฝนเมื่อผ่านการใช้งานไปนาน ๆ ยางปัดน้ำฝนจะแข็งตัว การยึดหยุ่นจะลดลงทำให้ปัดน้ำไม่หมด ควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนใหม่ทุกปี เมื่อเข้าหน้าฝน น้ำในหม้อน้ำ ปั๊มน้ำ และหัวฉีดตันหรือไม่ ลองกดทดสอบดูว่ายังทำงานปกติหรือไม่ จะใส่น้ำยาเช็ดกระจกลงในหม้อน้ำปัดน้ำฝนนิดหน่อยก็สามารถทำได้

        4.ตรวจเช็คระบบไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณต่าง ๆ เปิดไฟทั้งหมดดูว่าทำงานตามปกติหรือไม่ มีหลอดไหนติดหรือไม่ติด ถ้าพบว่ามีหลอดไหนไม่ติด ควรเปลี่ยนให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เพราะเมื่อเวลาฝนตกหนัก ๆ ทัศนะวิสัยจะไม่ดี การเปิดไฟช่วยส่องทาง หรือไฟเตือนต่าง ๆ จะทำให้รถคันอื่นสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น สามารถลดความเสี่ยงและการเกิดอุบัติเหตุได้

    ข้อแนะนำทั้งหมดนี้ เป็นการตรวจเช็คเบื้องต้นเพื่อเตรียมรถยนต์ที่แสนรักของเราให้พร้อมใช้งานในหน้าฝน และเพื่อช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันได้อีกด้วย

    ไปหน้าแรก  การดูแลรถยนต์




    วิธีเช็กโครงสร้างของรถยนต์ ก่อนตัดสินใจซื้อรถมือสอง

    เรื่องนี้ดู ๆไปแล้วการซื้อรถมือสองเปรียบเสมือนการหาแฟนคนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกมาแต่ไกลก็ชมว่าสวยว่าหล่อแล้วก็ตกลงใจเป็นแฟนกันทันที ต้องใช้เวลาดู ๆ กันไปก่อนจะตกลงคบกัน
    แต่การหากแฟนก็ยังมีข้อดีกว่าการซื้อรถมือสองวันยังค่ำ ดีอย่างไรนะหรือ ก็ถ้าเป็นเรื่องแฟนต่อให้คับกันสักพัก แล้วคิดว่าไม่เหมาะสมกันหรือมีข้อตำหนิที่คุณไม่สามารถรับได้ อย่างนี้คุณสามารถบอกเลิกได้ ต่างคนต่างเลิกราไม่ต้องทนคบให้เหนื่อยใจ

    เทคนิคการเลือกซื้อรถมือสอง

    แต่ถ้าเป็นรถมือสองถ้าดูพลาดแล้วก็พลาดเลย คิดจะได้เงินคืนนะเหรอฝันเฟื่องไปเถอะ เพราะอย่างนั้นแหละคุณถึงต้องให้ความสำคัญกับทุก ๆ ส่วนของรถ โดยขั้นแรกให้ดูสภาพของโครงสร้างภายนอกของตัวรถก่อน จากด้านหน้าเรื่อยไปจนถึงท้ายรถสังเกตตามตะเข็บรอยต่อของหลังคา ขอบกระจกหน้า-หลังให้ดี จากนั้นก็เปิดฝากระโปรงหน้าดูที่คานหม้อน้ำทั้งด้านบนและด้านล่าง ขายึดกันชนที่ต่อเชื่อมมาจากแชสซีส์ ดูตะเข็บรอยต่อภายในห้องเครื่อง ให้สังเกตดูว่ามีร่องรอยของความเสียหายหรือไม่ เพราะรถที่ถูกชนอย่างหนักพวกรอยเชื่อมหลังจากซ่อมมาแล้ว มักจะไม่เหมือนกับที่มาจากโรงงาน อันนี้คงต้องใช้การสังเกตดูหลาย ๆ คันมาเปรียบเทียบกันรถที่ถูกชนมาอย่างหนักเวลาที่ใช้งานไปนาน ๆ จะพบปัญหาตามมามากมายและในบางครั้งศูนย์ของรถอาจจะเพี้ยนมากจนเกินจะเยียวยา แต่ถ้าหากมีร่องรอยให้เห็นเล็กน้อย ก็แสดงว่ารถคันนี้มีการซ่อมแซมจากการชนมาบ้างแล้ว แต่ไม่หนักหนาหรือถ้าไม่พบเลยก็จะเป็นอันดีที่สุด

    พอดูด้านหน้าเสร็จก็แวะมาดูด้านหลังบ้าง แม้โครงสร้างส่วนหลังนี้มีควรสำคัญน้อยกว่าส่วนหน้าก็ตาม แต่ยังไงก็ไม่ควรละเลยเด็ดขาดเพราะโครงสร้างทั้งหมดนี่แหละทำให้การขับเคลื่อนของรถเป็นไปอย่างราบรื่นไม่เสียศูนย์ ถ้าจะเปรียบโครงสร้างของรถกับโครงสร้างของคน ก็คงจะเปรียบได้กับกระดูกของคนเรา ที่ทำให้ร่างกายของเราทั้งหลายสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ลองนึกดูสิว่า หากคุณตกบันไดแล้วเกิดขาหัก คุณก็จะเดินแบบกะเผลก ๆ เหมือนคนเสียศูนย์ มันก็ไม่ต่างอะไรกับรถหรอก ที่ถ้าพบว่าหลังคายุบหรือคด จะทำให้เสียศูนย์ เมื่อเสียแล้วไม่สามารถแก้ไขได้ เมื่อเบรกอย่างกะทันหันรถก็อาจหมุนติ้ว ๆ ได้หรือขับผ่านถนนหนทางที่มีน้ำท่วมขังเจิ่งนองรถก็อาจลื่นไถลได้ง่ายแม้จะไม่ได้เบรกก็ตาม

    โครงสร้างของรถยนต์นั้นหลายส่วนสามารถหาเปลี่ยนได้ และก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้หรือถ้าจะเปลี่ยนก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนมากจนไม่มีใครทำกัน อย่างบังโคลนหน้า ฝากระโปรง ประตู สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่แทนได้ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุมา ส่วนแก้มหลังที่ต่อกับเสาหลังรถหรือเฟรมตัวถังกับเสาประตู เป็นชิ้นส่วนที่ไม่นิยมเปลี่ยนกัน

    ด้วยขั้นตอนความยุ่งยากและความแข็งแรงของส่วนนั้นที่จะลดลงหลังจากทำการซ่อมไปแล้ว จึงไม่เป็นที่นิยมของอู่จนพอจะเรียกได้ว่า เป็นชิ้นส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ จึงควรจะต้องดูที่บริเวณนี้ให้ดี



    อุทาหรณ์เตือนใจก่อนซื้อรถมือสอง

    จะซื้อรถมือสองอย่าลืมเช็กโครงสร้างของรถยนต์ด้วย

    rutchapong  |  at   01:48

    วิธีเช็กโครงสร้างของรถยนต์ ก่อนตัดสินใจซื้อรถมือสอง

    เรื่องนี้ดู ๆไปแล้วการซื้อรถมือสองเปรียบเสมือนการหาแฟนคนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกมาแต่ไกลก็ชมว่าสวยว่าหล่อแล้วก็ตกลงใจเป็นแฟนกันทันที ต้องใช้เวลาดู ๆ กันไปก่อนจะตกลงคบกัน
    แต่การหากแฟนก็ยังมีข้อดีกว่าการซื้อรถมือสองวันยังค่ำ ดีอย่างไรนะหรือ ก็ถ้าเป็นเรื่องแฟนต่อให้คับกันสักพัก แล้วคิดว่าไม่เหมาะสมกันหรือมีข้อตำหนิที่คุณไม่สามารถรับได้ อย่างนี้คุณสามารถบอกเลิกได้ ต่างคนต่างเลิกราไม่ต้องทนคบให้เหนื่อยใจ

    เทคนิคการเลือกซื้อรถมือสอง

    แต่ถ้าเป็นรถมือสองถ้าดูพลาดแล้วก็พลาดเลย คิดจะได้เงินคืนนะเหรอฝันเฟื่องไปเถอะ เพราะอย่างนั้นแหละคุณถึงต้องให้ความสำคัญกับทุก ๆ ส่วนของรถ โดยขั้นแรกให้ดูสภาพของโครงสร้างภายนอกของตัวรถก่อน จากด้านหน้าเรื่อยไปจนถึงท้ายรถสังเกตตามตะเข็บรอยต่อของหลังคา ขอบกระจกหน้า-หลังให้ดี จากนั้นก็เปิดฝากระโปรงหน้าดูที่คานหม้อน้ำทั้งด้านบนและด้านล่าง ขายึดกันชนที่ต่อเชื่อมมาจากแชสซีส์ ดูตะเข็บรอยต่อภายในห้องเครื่อง ให้สังเกตดูว่ามีร่องรอยของความเสียหายหรือไม่ เพราะรถที่ถูกชนอย่างหนักพวกรอยเชื่อมหลังจากซ่อมมาแล้ว มักจะไม่เหมือนกับที่มาจากโรงงาน อันนี้คงต้องใช้การสังเกตดูหลาย ๆ คันมาเปรียบเทียบกันรถที่ถูกชนมาอย่างหนักเวลาที่ใช้งานไปนาน ๆ จะพบปัญหาตามมามากมายและในบางครั้งศูนย์ของรถอาจจะเพี้ยนมากจนเกินจะเยียวยา แต่ถ้าหากมีร่องรอยให้เห็นเล็กน้อย ก็แสดงว่ารถคันนี้มีการซ่อมแซมจากการชนมาบ้างแล้ว แต่ไม่หนักหนาหรือถ้าไม่พบเลยก็จะเป็นอันดีที่สุด

    พอดูด้านหน้าเสร็จก็แวะมาดูด้านหลังบ้าง แม้โครงสร้างส่วนหลังนี้มีควรสำคัญน้อยกว่าส่วนหน้าก็ตาม แต่ยังไงก็ไม่ควรละเลยเด็ดขาดเพราะโครงสร้างทั้งหมดนี่แหละทำให้การขับเคลื่อนของรถเป็นไปอย่างราบรื่นไม่เสียศูนย์ ถ้าจะเปรียบโครงสร้างของรถกับโครงสร้างของคน ก็คงจะเปรียบได้กับกระดูกของคนเรา ที่ทำให้ร่างกายของเราทั้งหลายสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ลองนึกดูสิว่า หากคุณตกบันไดแล้วเกิดขาหัก คุณก็จะเดินแบบกะเผลก ๆ เหมือนคนเสียศูนย์ มันก็ไม่ต่างอะไรกับรถหรอก ที่ถ้าพบว่าหลังคายุบหรือคด จะทำให้เสียศูนย์ เมื่อเสียแล้วไม่สามารถแก้ไขได้ เมื่อเบรกอย่างกะทันหันรถก็อาจหมุนติ้ว ๆ ได้หรือขับผ่านถนนหนทางที่มีน้ำท่วมขังเจิ่งนองรถก็อาจลื่นไถลได้ง่ายแม้จะไม่ได้เบรกก็ตาม

    โครงสร้างของรถยนต์นั้นหลายส่วนสามารถหาเปลี่ยนได้ และก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้หรือถ้าจะเปลี่ยนก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนมากจนไม่มีใครทำกัน อย่างบังโคลนหน้า ฝากระโปรง ประตู สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่แทนได้ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุมา ส่วนแก้มหลังที่ต่อกับเสาหลังรถหรือเฟรมตัวถังกับเสาประตู เป็นชิ้นส่วนที่ไม่นิยมเปลี่ยนกัน

    ด้วยขั้นตอนความยุ่งยากและความแข็งแรงของส่วนนั้นที่จะลดลงหลังจากทำการซ่อมไปแล้ว จึงไม่เป็นที่นิยมของอู่จนพอจะเรียกได้ว่า เป็นชิ้นส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ จึงควรจะต้องดูที่บริเวณนี้ให้ดี



    หากคุณต้องการความชัวร์แบบไม่มั่วนิ่ม การขอดูคู่มือการรับบริการและเอกสารเกี่ยวกับรถของเจ้าของเดิมน่าจะเป็นวิธีสร้างความน่าเชื่อถือได้อีกแบบหนึ่ง

    เทคนิคซื้อรถมือสอง
    ถ้าเจ้าของรถเดิมเก็บเอกสารเหล่านั้นเอาไว้คุณก็สามารถใช้มันประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อรถมือสองได้ เพราะเอกสารเหล่านี้มันบอกอะไรตั้งมากมาย เช่นว่า รถผ่านการซ่อมบำรุงมากี่ครั้ง มีจุดไหนบ้างที่มีปัญหาบ่อย หรือถ้ามีการซ่อมบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของรถเป็นเวลาหลาย ๆ ครั้ง ให้ลองสอบถามกับเจ้าของรถว่าเกิดอะไรกับชิ้นส่วนดังกล่าว และบอกกับช่างเครื่องที่มาช่วยตรวจสอบเครื่องเพื่อทำการเช็กในจุดดังกล่าวอีกครั้ง เพราะช่างเครื่องยนต์ที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนหรือคนที่มีความคุ้นเคยกับการซ่อมเครื่องยนต์เป็นอย่างดี สามารถบอกรายละเอียดของรถได้อย่างมากมาย 

    นอกจากนี้คุณยังมั่นใจได้อีกว่าคนที่เก็บเอกสารเกี่ยวกับรถไว้ทุกย่างส่วนมากจะเป็นคนที่มีการดูแลรักษารถและนำรถเข้าศูนย์บริการเป็นประจำ หากคุณต้องการซื้อรถบ้านที่เจ้าของขายเอง คุณก็สามารถขอเช็กเอกสารสำคัญอื่นได้แม้เจ้าของจะไม่ได้เก็บคู่มือการรับบริการไว้ เช่น ขอดูเอกสารเล่มทะเบียนรถยนต์ ซึ่งจะทำให้ทราบว่ารถคันนี้ผ่านการใช้งานมาแล้วกี่ราย มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์และสีของรถยนต์หรือเปล่า ควรเลือกซื้อรถที่ผ่านการใช้งานมามือเดียว หรือจากเจ้าของคนเดียวหรืออย่างเก่งไม่เกินสาม จะช่วยให้เราสามารถซักถามประวัติการใช้รถได้

    เอกสารที่ควรใส่ใจมากที่สุด คือสมุดจดทะเบียนไม่ควรมีการแก้ไขโดยไม่มีลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ขนส่งกำกับ หากสมุดจดทะเบียนมีข้อน่าสงสัยคุณก็ไม่ควรทำการซื้อขายรถมือสองคันนั้นเด็ดขาดนอกจากนี้การขอเช็กบัตรที่ทางราชการออกให้ตัวจริง เช่นบัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ เป็นต้น ก็เป็นสิ่งสำคัญพอ ๆ กัน เช็กดูซิว่าชื่อตรงกันหรือไม่ และเพื่อความมั่นใจอีกต่อคุณต้องเช็กหมายเลขเครื่องกับขนส่งด้วยว่ารถที่เราสนใจมีปัญหาหรือไม่

    การเช็กรายละเอียดเอกสารเหล่านี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ใช่รถที่มีการแจ้งความว่าหาย รวมทั้งตรวจเช็กเรื่องการเสียภาษีรถประจำทุกปีว่าถูกต้องหรือต่ออายุมาตลอดหรือไม่ เพราะถ้าไม่ต่ออายุจะมีค่าปรับตามมา มี พ.ร.บ. และประกันภัยหรือเปล่า เหลืออายุเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้ล้วนสำคัญไม่แพ้การตรวจเช็กเครื่องยนต์กลไกหรือตัวถังเลย อย่ามองข้ามเป็นอันขาด เพราะถ้าเอกสารยืนยันไม่พร้อม นั่นก็เท่ากับว่าคุณกำลังเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับภาระที่หนักอึ้ง ดีไม่ดีอาจจะมากพอที่คุณจะถอยรถป้ายแดงออกมาเลยก็ได้ ทางที่ดีอย่าเพิ่งใจเร็วด่วนได้ ต้องคิดต้องเช็กให้รอบคอบ หากเจ้าของปฏิเสธหรือพยายามบ่ายเบี่ยงอย่างนั้นอย่างนี้ คุณก็เลิกซื้อรถของเขาไปเลยจะดีกว่า ต่อให้ลดราคาขนาดนั้นก็อย่าใจอ่อนเห็นแก่ของถูก เพราะมันดีกว่าคุณต้องมานั่งร้องห่มร้องไห้ตีอกชกตัว เมื่อต้องพบกับความจริงอันเจ็บปวดและเห็นมัน (รถ) อยู่ทุกวัน

    ไปหน้าแรก  ข่าวรถยนต์



    อุทาหรณ์เตือนใจก่อนซื้อรถมือสอง

    ซื้อรถมือสองต้องขอดูคู่มือการรับบริการ และเอกสารติดรถอื่น ๆ

    rutchapong  |  at   01:37

    หากคุณต้องการความชัวร์แบบไม่มั่วนิ่ม การขอดูคู่มือการรับบริการและเอกสารเกี่ยวกับรถของเจ้าของเดิมน่าจะเป็นวิธีสร้างความน่าเชื่อถือได้อีกแบบหนึ่ง

    เทคนิคซื้อรถมือสอง
    ถ้าเจ้าของรถเดิมเก็บเอกสารเหล่านั้นเอาไว้คุณก็สามารถใช้มันประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อรถมือสองได้ เพราะเอกสารเหล่านี้มันบอกอะไรตั้งมากมาย เช่นว่า รถผ่านการซ่อมบำรุงมากี่ครั้ง มีจุดไหนบ้างที่มีปัญหาบ่อย หรือถ้ามีการซ่อมบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของรถเป็นเวลาหลาย ๆ ครั้ง ให้ลองสอบถามกับเจ้าของรถว่าเกิดอะไรกับชิ้นส่วนดังกล่าว และบอกกับช่างเครื่องที่มาช่วยตรวจสอบเครื่องเพื่อทำการเช็กในจุดดังกล่าวอีกครั้ง เพราะช่างเครื่องยนต์ที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนหรือคนที่มีความคุ้นเคยกับการซ่อมเครื่องยนต์เป็นอย่างดี สามารถบอกรายละเอียดของรถได้อย่างมากมาย 

    นอกจากนี้คุณยังมั่นใจได้อีกว่าคนที่เก็บเอกสารเกี่ยวกับรถไว้ทุกย่างส่วนมากจะเป็นคนที่มีการดูแลรักษารถและนำรถเข้าศูนย์บริการเป็นประจำ หากคุณต้องการซื้อรถบ้านที่เจ้าของขายเอง คุณก็สามารถขอเช็กเอกสารสำคัญอื่นได้แม้เจ้าของจะไม่ได้เก็บคู่มือการรับบริการไว้ เช่น ขอดูเอกสารเล่มทะเบียนรถยนต์ ซึ่งจะทำให้ทราบว่ารถคันนี้ผ่านการใช้งานมาแล้วกี่ราย มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์และสีของรถยนต์หรือเปล่า ควรเลือกซื้อรถที่ผ่านการใช้งานมามือเดียว หรือจากเจ้าของคนเดียวหรืออย่างเก่งไม่เกินสาม จะช่วยให้เราสามารถซักถามประวัติการใช้รถได้

    เอกสารที่ควรใส่ใจมากที่สุด คือสมุดจดทะเบียนไม่ควรมีการแก้ไขโดยไม่มีลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ขนส่งกำกับ หากสมุดจดทะเบียนมีข้อน่าสงสัยคุณก็ไม่ควรทำการซื้อขายรถมือสองคันนั้นเด็ดขาดนอกจากนี้การขอเช็กบัตรที่ทางราชการออกให้ตัวจริง เช่นบัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ เป็นต้น ก็เป็นสิ่งสำคัญพอ ๆ กัน เช็กดูซิว่าชื่อตรงกันหรือไม่ และเพื่อความมั่นใจอีกต่อคุณต้องเช็กหมายเลขเครื่องกับขนส่งด้วยว่ารถที่เราสนใจมีปัญหาหรือไม่

    การเช็กรายละเอียดเอกสารเหล่านี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ใช่รถที่มีการแจ้งความว่าหาย รวมทั้งตรวจเช็กเรื่องการเสียภาษีรถประจำทุกปีว่าถูกต้องหรือต่ออายุมาตลอดหรือไม่ เพราะถ้าไม่ต่ออายุจะมีค่าปรับตามมา มี พ.ร.บ. และประกันภัยหรือเปล่า เหลืออายุเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้ล้วนสำคัญไม่แพ้การตรวจเช็กเครื่องยนต์กลไกหรือตัวถังเลย อย่ามองข้ามเป็นอันขาด เพราะถ้าเอกสารยืนยันไม่พร้อม นั่นก็เท่ากับว่าคุณกำลังเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับภาระที่หนักอึ้ง ดีไม่ดีอาจจะมากพอที่คุณจะถอยรถป้ายแดงออกมาเลยก็ได้ ทางที่ดีอย่าเพิ่งใจเร็วด่วนได้ ต้องคิดต้องเช็กให้รอบคอบ หากเจ้าของปฏิเสธหรือพยายามบ่ายเบี่ยงอย่างนั้นอย่างนี้ คุณก็เลิกซื้อรถของเขาไปเลยจะดีกว่า ต่อให้ลดราคาขนาดนั้นก็อย่าใจอ่อนเห็นแก่ของถูก เพราะมันดีกว่าคุณต้องมานั่งร้องห่มร้องไห้ตีอกชกตัว เมื่อต้องพบกับความจริงอันเจ็บปวดและเห็นมัน (รถ) อยู่ทุกวัน

    ไปหน้าแรก  ข่าวรถยนต์



    ยางรถยนต์ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการใช้รถ เพราะยางรถยนต์เป็นส่วนเดียวของรถที่สัมผัสถูกกับพื้นผิวถนนและทำงานหนักในทุก ๆ สภาพถนน ไม่ว่าสภาพถนนเปียก แห้ง ทางเรียบ หรือทางขรุขระ การเลือกยางรถยนต์นั้นส่งผลถึงความปลอดภัยของผู้ขับขี่ รวมถึงการประหยัดพลังงาน และลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ และช่วยลดความเสียหายของระบบช่วงล่างของรถยนต์อีกด้วย


    วิธีการเลือกยางรถยนต์

    1. เลือกขนาดยางและกระทะล้อ ให้ถูกต้องตามที่กำหนดโดยโรงงานผู้ผลิตรถยนต์
    2. เลือกยางที่รหัสความเร็ว และน้ำหนักบรรทุกที่เหมาะสมกับรถ
    3. อายุยางต้องไม่เก่าจนเกินไป ดูจาก วันเดือนปี ที่ผลิตไม่ควรเกิน 6 เดือน
    4. ถ่วงล้อทั้ง 4 ล้อ และควรตั้งศูนย์ล้อทั้ง 4 ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนยาง
    5. ใส่เปลี่ยนยางโดยช่างผู้ชำนาญและมีอุปกรณ์พร้อม

    การเลือกลักษณะของดอกยางรถยนต์

    - ดอกยางแบบสวนทาง ค่อนข้างเป็นดอกละเอียด เน้นความนุ่มสบาย มีเสียงค่อนข้างเงียบสุดเมื่อสัมผัสพื้นถนน แต่ดอกยางประเภทนี้อาจไม่เหมาะกับนับขับที่เท้าหนักสักเท่าไหร่ เพราะมักมีอาการโยนตัวของรถเป็นของแถมมาด้วย เวลาสลับยางที่แนะนำกันทุก 10,000 กิโลเมตร สามารถทำได้ง่าย เพราะยางสามารถสลับสับเปลี่ยนได้เลยทุกตำแหน่ง

    - ดอกยางแบบหมุนทางเดียว มีประสิทธิภาพในการรีดน้ำ และรักษาสมดุลของรถในช่วงความเร็วสูงได้อย่างยอดเยี่ยมมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะบนถนนมากกว่ารูปแบบแรก ดอกยางแบบหมุนไปทางเดียวนี้ มักมีลูกสรเพื่อบอกทิศทางการหมุนของยางมาด้วย เพื่อประโยชน์เมื่อต้องสลับยาง จำเป็นต้องดูทิศทางของลูกศรให้ลูกต้อง เพราะจะมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพและอายุของยางประเภทนี้ ลวดลายของดอกยางค่อนข้างมีแนวโน้มปางแนวสปอร์ต ยางหลาย ๆ รุ่นออกแบบดอกยางประเภทนี้ได้สวยงามจนสามารถเติมเต็มรสแต่งซิ่งให้สวยเตะตาขึ้นมาอย่างถนัดใจ ที่สำคัญเหมาะกับพวกนักซิ่งเท้าหนักทั้งหลายอย่างมาก

    - ดอกยางแบบไม่สมมาตร ให้ความมั่นใจการยึดเกาะ และรักษาสมดุลขอรถในขณะโยนตัวเมื่อเข้าโค้งได้ดี สามารถลดและป้องกันอาการดื้อโค้งหรือหลุดโค้ง ลักษณะของดอกยางนี้คือ ดอกยางด้านนอกและด้านในไม่เท่ากัน ซึ่งเหมาะกับทางโค้งมากว่าทางตรง

    ไปหน้าแรก  การดูแลรถยนต์



    รถยนต์

    เลือกใช้ยางรถยนต์อย่างไรให้ถูกวิธี

    rutchapong  |  at   22:37

    ยางรถยนต์ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการใช้รถ เพราะยางรถยนต์เป็นส่วนเดียวของรถที่สัมผัสถูกกับพื้นผิวถนนและทำงานหนักในทุก ๆ สภาพถนน ไม่ว่าสภาพถนนเปียก แห้ง ทางเรียบ หรือทางขรุขระ การเลือกยางรถยนต์นั้นส่งผลถึงความปลอดภัยของผู้ขับขี่ รวมถึงการประหยัดพลังงาน และลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ และช่วยลดความเสียหายของระบบช่วงล่างของรถยนต์อีกด้วย


    วิธีการเลือกยางรถยนต์

    1. เลือกขนาดยางและกระทะล้อ ให้ถูกต้องตามที่กำหนดโดยโรงงานผู้ผลิตรถยนต์
    2. เลือกยางที่รหัสความเร็ว และน้ำหนักบรรทุกที่เหมาะสมกับรถ
    3. อายุยางต้องไม่เก่าจนเกินไป ดูจาก วันเดือนปี ที่ผลิตไม่ควรเกิน 6 เดือน
    4. ถ่วงล้อทั้ง 4 ล้อ และควรตั้งศูนย์ล้อทั้ง 4 ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนยาง
    5. ใส่เปลี่ยนยางโดยช่างผู้ชำนาญและมีอุปกรณ์พร้อม

    การเลือกลักษณะของดอกยางรถยนต์

    - ดอกยางแบบสวนทาง ค่อนข้างเป็นดอกละเอียด เน้นความนุ่มสบาย มีเสียงค่อนข้างเงียบสุดเมื่อสัมผัสพื้นถนน แต่ดอกยางประเภทนี้อาจไม่เหมาะกับนับขับที่เท้าหนักสักเท่าไหร่ เพราะมักมีอาการโยนตัวของรถเป็นของแถมมาด้วย เวลาสลับยางที่แนะนำกันทุก 10,000 กิโลเมตร สามารถทำได้ง่าย เพราะยางสามารถสลับสับเปลี่ยนได้เลยทุกตำแหน่ง

    - ดอกยางแบบหมุนทางเดียว มีประสิทธิภาพในการรีดน้ำ และรักษาสมดุลของรถในช่วงความเร็วสูงได้อย่างยอดเยี่ยมมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะบนถนนมากกว่ารูปแบบแรก ดอกยางแบบหมุนไปทางเดียวนี้ มักมีลูกสรเพื่อบอกทิศทางการหมุนของยางมาด้วย เพื่อประโยชน์เมื่อต้องสลับยาง จำเป็นต้องดูทิศทางของลูกศรให้ลูกต้อง เพราะจะมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพและอายุของยางประเภทนี้ ลวดลายของดอกยางค่อนข้างมีแนวโน้มปางแนวสปอร์ต ยางหลาย ๆ รุ่นออกแบบดอกยางประเภทนี้ได้สวยงามจนสามารถเติมเต็มรสแต่งซิ่งให้สวยเตะตาขึ้นมาอย่างถนัดใจ ที่สำคัญเหมาะกับพวกนักซิ่งเท้าหนักทั้งหลายอย่างมาก

    - ดอกยางแบบไม่สมมาตร ให้ความมั่นใจการยึดเกาะ และรักษาสมดุลขอรถในขณะโยนตัวเมื่อเข้าโค้งได้ดี สามารถลดและป้องกันอาการดื้อโค้งหรือหลุดโค้ง ลักษณะของดอกยางนี้คือ ดอกยางด้านนอกและด้านในไม่เท่ากัน ซึ่งเหมาะกับทางโค้งมากว่าทางตรง

    ไปหน้าแรก  การดูแลรถยนต์




    นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ นับเป็นรถกระบะพันธุ์แกร่งรุ่นที่ 12 ของนิสสัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ของนิสสันในด้านความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือในการออกแบบรถกระบะสำหรับตลาดที่ผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นเลิศ

    นอกจากนี้ นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ มาพร้อมสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการประหยัดน้ำมัน อัตราเร่ง การควบคุมรถในการขับขี่ ทั้งยังมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งทนทานยิ่งขึ้น และรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยแต่ยังคงความบึกบึน แข็งแกร่ง


    การออกแบบของนิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ โดดเด่นและมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น ด้วยรูปทรงของไฟส่องสว่างตอนกลางวันแบบ LED ด้านหน้าที่มีลักษณะคล้ายบูมเมอแรง นอกจากนี้ คิ้วโครเมียมข้างตัวเรถและกระจกมองข้างแบบโครเมียมพร้อมไฟเลี้ยว ยังช่วยเสริมความโฉบเฉี่ยวให้กับตัวรถยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ เอ็นพี 300 นาวารา ยังมาพร้อม 2 สีใหม่ให้เลือก ได้แก่ สีส้มสะวันนาห์ และสีน้ำตาบ เอิร์ธ บรอนซ์ ซึ่งช่วยเน้นภาพลักษณ์ของความทรงพลังและทันสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ของนิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา
    ระบบขับเคลื่อนของนิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ ได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันและการปล่อยมลพิษ พร้อมทั้งระบบควบคุมการทรงตัว และระบบเบรกที่เหนือระดับและเป็นผู้นำในตลาด ในส่วนของเครื่องยนต์ได้รับการพัฒนาเพื่อให้มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันและการปล่อยมลพิษที่ดีที่สุด ในรถระดับเดียวกัน แต่ยังคงไว้ซึ่งความทรงพลังและอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร DOHC แบบ 4 สูบแถวเรียงใหม่นี้ ให้กำลังสูงสุดที่ 190 แรงม้า และ 163 แรงม้าที่ 3600 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2000 รอบ


    เอ็นพี 300 นาวาราใหม่ มาพร้อม ระบบเกียร์ให้เลือก 2 แบบ คือ เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด สำหรับระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ช่วยประหยัดน้ำมันในช่วงความเร็วต่ำ แต่คงไว้ซึ่งอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม พร้อมกับอัตราทดเกียร์ที่กว้างขึ้น เพื่อรองรับการขับขี่ในทุกความเร็ว และความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ สำหรับระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ได้รับการพัฒนาให้ประหยัดน้ำมันในทุกช่วง พร้อมพัฒนาให้มีความนุ่มนวลยิ่งขึ้นเมื่อเปลี่ยนเกียร์

    ไปหน้าแรก  ข่าวรถใหม่


    Nissan NP300 Navara

    เปิดตัว Nissan NP300 Navara รถกระบะเจเนอเรชั่นใหม่

    rutchapong  |  at   22:17


    นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ นับเป็นรถกระบะพันธุ์แกร่งรุ่นที่ 12 ของนิสสัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ของนิสสันในด้านความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือในการออกแบบรถกระบะสำหรับตลาดที่ผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นเลิศ

    นอกจากนี้ นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ มาพร้อมสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการประหยัดน้ำมัน อัตราเร่ง การควบคุมรถในการขับขี่ ทั้งยังมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งทนทานยิ่งขึ้น และรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยแต่ยังคงความบึกบึน แข็งแกร่ง


    การออกแบบของนิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ โดดเด่นและมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น ด้วยรูปทรงของไฟส่องสว่างตอนกลางวันแบบ LED ด้านหน้าที่มีลักษณะคล้ายบูมเมอแรง นอกจากนี้ คิ้วโครเมียมข้างตัวเรถและกระจกมองข้างแบบโครเมียมพร้อมไฟเลี้ยว ยังช่วยเสริมความโฉบเฉี่ยวให้กับตัวรถยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ เอ็นพี 300 นาวารา ยังมาพร้อม 2 สีใหม่ให้เลือก ได้แก่ สีส้มสะวันนาห์ และสีน้ำตาบ เอิร์ธ บรอนซ์ ซึ่งช่วยเน้นภาพลักษณ์ของความทรงพลังและทันสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ของนิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา
    ระบบขับเคลื่อนของนิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ ได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันและการปล่อยมลพิษ พร้อมทั้งระบบควบคุมการทรงตัว และระบบเบรกที่เหนือระดับและเป็นผู้นำในตลาด ในส่วนของเครื่องยนต์ได้รับการพัฒนาเพื่อให้มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันและการปล่อยมลพิษที่ดีที่สุด ในรถระดับเดียวกัน แต่ยังคงไว้ซึ่งความทรงพลังและอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร DOHC แบบ 4 สูบแถวเรียงใหม่นี้ ให้กำลังสูงสุดที่ 190 แรงม้า และ 163 แรงม้าที่ 3600 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2000 รอบ


    เอ็นพี 300 นาวาราใหม่ มาพร้อม ระบบเกียร์ให้เลือก 2 แบบ คือ เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด สำหรับระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ช่วยประหยัดน้ำมันในช่วงความเร็วต่ำ แต่คงไว้ซึ่งอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม พร้อมกับอัตราทดเกียร์ที่กว้างขึ้น เพื่อรองรับการขับขี่ในทุกความเร็ว และความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ สำหรับระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ได้รับการพัฒนาให้ประหยัดน้ำมันในทุกช่วง พร้อมพัฒนาให้มีความนุ่มนวลยิ่งขึ้นเมื่อเปลี่ยนเกียร์

    ไปหน้าแรก  ข่าวรถใหม่


    บทความรถยนต์ที่น่าสนใจ